ที่มาและคำขวัญของ “วันงดสูบบุหรี่โลก” World No Tobacco Day 2024

31 พ.ค. 2567 | 01:22 น.
อัปเดตล่าสุด :31 พ.ค. 2567 | 01:50 น.

วันที่ 31 พฤษภาคมของทุกปี องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดให้เป็นวันงดสูบบุหรี่โลก หรือ World No Tobacco Day โดยมีคำขวัญประจำปี 2567 นี้ว่า  Protecting children from tobacco industry interference. หรือในภาษาไทยคือ "ร่วมปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า” 

วันงดสูบบุหรี่โลก (World No Tobacco Day) ซึ่ง องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดให้ตรงกับวันที่ 31 พฤษภาคม ของทุกปี มีจุดเริ่มต้นขึ้นมาจากการเล็งเห็นถึงอันตรายของบุหรี่ต่อสุขภาพ ทั้งของผู้สูบบุหรี่เองและผู้ไม่สูบแต่ได้รับควันบุหรี่ ถึงขั้นระบุชัดเจนว่า การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุสำคัญของการป่วยและเสียชีวิตก่อนวัยอันควร “ที่สามารถป้องกันได้”

WHO จึงริเริ่มจัดงานวัดงดสูบบุหรี่โลกครั้งแรกในวันที่ 31 พฤษภาคม 2531 เพื่อรณรงค์ให้ผู้สูบบุหรี่เลิกสูบ และให้ประชากรโลก ตระหนักถึงความสำคัญและเข้าร่วมกิจกรรม รวมถึงกระตุ้นให้รัฐบาลของประเทศต่างๆ กำหนดนโยบายหรือกฎหมายเพื่อควบคุมยาสูบและการสูบบุหรี่ และนับจากปีนั้น เป็นต้นมา ก็ได้กำหนดให้วันที่ 31 พฤษภาคม ของทุกปี เป็น “วันงดสูบบุหรี่โลก” (World No Tobacco Day) โดยแต่ละปีจะมีคำขวัญแตกต่างกันไป ตามแต่ธีมหรือเนื้อหาที่ WHO ต้องการเน้นให้ความสำคัญหรือให้สังคมตระหนักเป็นพิเศษในประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับบุหรี่

โดยในปีนี้ WHO กำหนดคำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลกไว้ว่า Protecting children from tobacco industry interference. ซึ่งในภาษาไทยใช้คำว่า “ร่วมปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า” เนื่องจากได้เล็งเห็นถึงอันตรายของ “บุหรี่ไฟฟ้า” ที่กำลังคุกคามเยาวชนทั่วโลกมากขึ้นเรื่อย ๆ ยกตัวอย่างการที่หลายบริษัทได้เร่งออกผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ๆ ที่ใส่สารปรุงรสต่างๆ ซึ่งปัจจุบันพบกว่า 16,000 รสชาติ รวมทั้งการออกแบบรูปลักษณ์ของบุหรี่ไฟฟ้าให้จูงใจเด็กๆและเยาวชน ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์รูปการ์ตูน หรือแม้แต่คาแรคเตอร์แอนิเมชันต่างๆที่เด็กๆชื่นชอบ รวมไปถึงการใช้สีสันสวยงามสะดุดตา

ส่งผลให้สถิติการใช้บุหรี่ไฟฟ้าของเด็กและเยาวชนเพิ่มขึ้น โดยในเด็กชายสูงขึ้นถึง 20% และเด็กหญิง 15%

ด้วยเหตุนี้ หลายหน่วยงานจึงเริ่มออกมารณรงค์สร้างความตระหนักเกี่ยวกับภัยร้ายของบุหรี่ รวมทั้งบุหรี่ไฟฟ้าที่เจาะกลุ่มเป้าหมายไปยังเด็กและเยาวชน

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลกปี 2567 คือ Protecting children from tobacco industry interference. (ร่วมปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า) ขอบคุณภาพจาก WHO

ข้อมูลที่น่าห่วงกังวลทั้งจาก WHO และจากรายงานล่าสุดของ STOP ซึ่งเป็นองค์การวอตช์ด็อกเกี่ยวกับอุตสาหกรรมยาสูบ ว่าด้วยเรื่อง Hooking the Generation แสดงให้เห็นว่าเด็กอายุระหว่าง 13-15 ปีทั่วโลกประมาณ 37 ล้านคนใช้ยาสูบ และอัตราการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในวัยรุ่นยังสูงกว่าผู้ใหญ่ในหลายประเทศ

 

สอดคล้องกับข้อมูลการสำรวจสถานการณ์การสูบบุหรี่ของเด็กและเยาวชนของสำนักงานสถิติแห่งชาติเมื่อปี 2564 ที่ระบุว่า จากจำนวนประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป ทั้งสิ้น 57 ล้านคน เป็นผู้สูบบุหรี่ถึง 9.9 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 17.4

โดยกลุ่มอายุ 25-44 ปี มีอัตราการสูบบุหรี่สูงสุด คือ ร้อยละ 21.0 ข้อมูลผลการสำรวจยังพบว่าร้อยละ 60.8 ของนักสูบหน้าใหม่ เป็นผู้ที่มีอายุ ระหว่าง 15-19 ปี สูงถึง 950,000 คน ซึ่งในจำนวน 10 คนที่ติดบุหรี่ 7 คนจะเลิกไม่ได้ตลอดชีวิต ส่วน 3 คน เลิกได้ แต่จะติดบุหรี่เฉลี่ยกว่า 20 ปี

จำนวนตัวเลขเหล่านี้ ยังไม่นับรวมการสูบบุหรี่ไฟฟ้าที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากกลยุทธ์บริษัทบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า รวมถึงเครือข่ายผู้จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ที่พยายามโฆษณาหลอกล่อเด็กและเยาวชน และที่น่าเป็นห่วงคือ แนวโน้มการสูบบุหรี่กลับสูงขึ้นในกลุ่มเยาวชนและสตรี ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทบุหรี่ได้พัฒนาเทคนิคการตลาด รวมทั้งมีผลิตภัณฑ์ยาสูบชนิดใหม่ ๆ ออกสู่ตลาด เพื่อหาลูกค้ารายใหม่ จำนวนอย่างน้อย 100,000 คนในแต่ละปี ทดแทนผู้สูบบุหรี่ที่เลิกสูบหรือเสียชีวิตไป

ร่วมกันรณรงค์งดสูบบุหรี่ รวมทั้งบุหรี่ไฟฟ้าด้วย

ข้อมูลของ WHO ชี้ว่า นิโคตินในบุหรี่นั้นมีผลต่อสมองของวัยรุ่น ทำให้พร้อมที่จะรับและติดสิ่งเสพติดชนิดอื่น เช่น แอลกอฮอล์ เฮโรอีน โคเคน กัญชา เพิ่มขึ้นหลายเท่า นอกจากนี้ เด็กและเยาวชนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า ยังมีความเสี่ยงที่จะเปลี่ยนไปสูบบุหรี่ธรรมดามากกว่าผู้ที่ไม่ได้สูบ 2-4 เท่า (Gateway Effect)

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงต้องมีการรณรงค์กันอย่างจริงจังก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

 

ที่มา: World Health Organization / มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่