เป็นที่รู้ดีว่า “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. “บิ๊กป้อม-พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม และ “บิ๊กป๊อก-พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” รมว.มหาดไทย มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกันมายาวนานกว่า 50 ปี ตั้งแต่สมัยเป็นนายทหารยศร้อยตรี ในค่ายทหาร ร.21 รอ. กระทั่งปัจจุบัน “พี่น้อง 3 ป.” ยังผูกพันแน่นปึ้ก และกลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญทั้งในวง การการเมืองและการทหารในปัจจุบัน
มีหลายเหตุการณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความรักและห่วงใยของ “3 พี่น้อง” ที่มีต่อกัน
ล่าสุดในวงสนทนาระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ กับผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล เมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งเป็นการพบปะและรับประทานอาหารร่วมกันครั้งสุดท้ายก่อนมีรัฐบาลใหม่
บรรดากระจอกข่าวจับสัญญาณจากการสนทนาแบบเป็นกันเองกับ “บิ๊กตู่” ได้ชัดเจนถึงสายใยของ “3 ป.” ได้อย่างชัดเจน จากการสนทนาของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่พูดถึงการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคพลังประชารัฐ ว่า ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง อยากให้ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ กลับมาช่วยงานในกระทรวงเดิม
“4 กระทรวงคือ กระทรวงกลาโหม มหาดไทย คลัง คมนาคม ควรจะอยู่กับฝ่ายความมั่นคงและพรรคหลักหรือไม่ เพื่อดูแลให้เดินหน้าไปได้” ชัดๆ จากปาก “บิ๊กตู่” ที่ยืนยันในวงสนทนาแบบเปิดอกคุยกับกระจอกข่าว
ไม่แปลกที่โผ ครม.ขั้วพลังประชารัฐ ล่าสุดมีชื่อ “บิ๊กป้อม”ยังนั่งรองนายกฯ ควบรมว.กลาโหม เช่นเดียวกับ “บิ๊กป๊อก” ยังเหนียวแน่นในเก้าอี้รมว.มหาดไทย(มท.1) ท่ามกลางการเปิดปฏิบัติการปล่อยข่าวโจมตี “บิ๊กป้อม-บิ๊กป๊อก” ไม่ต่างไปจากสภาพ “ตำบลกระสุนตก” มาตลอด หวังสกัดไม่ให้เข้าร่วม ครม.“บิ๊กตู่”
แต่เมื่อโชคชะตาขีดเส้นให้ “3 พี่น้อง” ต้องเดินหน้าจูงมือไปด้วยกัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ต้องฝ่าฟันต่อไป
สายใยรักพี่น้อง 3 ป.
ย้อนถึงที่มาของสายสัมพันธ์อันแนบแน่นของ 3 พี่น้องผูกพันกันมานาน ตั้งแต่ช่วงที่ ร.ต.ประยุทธ์ เข้ารับราชการเป็น “ทหารเสือราชินี” ในกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ จังหวัดชลบุรี ได้เข้าพักชายคาเดียวกับ “พี่ใหญ่” ร.อ.ประวิตร และ “พี่รอง” ร.ท. อนุพงษ์ เนื่องจากสมัยก่อนบ้านพักนายทหารมีน้อย จากที่ต้องกิน นอนในบ้านพักนายทหารหลังเดียวกัน และเติบโตมาในเส้นทางเดียวกัน
พล.อ.ประวิตร ก้าวเข้าสู่รั้วเตรียมทหาร (ตท.6) “บิ๊กป้อม” เป็นนักเรียนที่โดดเด่นของรุ่น ได้รับความไว้วางใจของเพื่อนๆ เริ่มรับราชการทหารครั้งแรกปี 2512 เป็นผู้บังคับหมวดปืนเล็ก กองพันทหารราบที่ 2 กรมผสมที่ 3 ช่วงปี 2524 เติบ โตในกรมทหารราบที่ 2 รักษา พระองค์จนเป็นผู้บังคับการ
ส่วน พล.อ.อนุพงษ์ จบโรงเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 10 (ตท.10) เป็นนายทหารคุมกำลังรบตั้งแต่เริ่มรับราชการใหม่ เคยเป็นผู้บัญชาการกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ ทหารเสือราชินี (ผบ.ร.21 รอ.) เป็นผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.1 รอ.) ก่อนจะได้เลื่อนเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 และแม่ทัพภาคที่ 1
เช่นเดียวกับพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 12 (ตท.12) รับราชการทหารอยู่ที่กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ มาโดยตลอด เริ่มจากตำแหน่งผู้บังคับการกองพัน จนถึงผู้บังคับการกรม จากนั้นจึงย้ายไปอยู่ที่กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ และรับตำแหน่งรองแม่ ทัพภาคที่ 1 เป็นสมาชิก “บูรพาพยัคฆ์” ในกองทัพ เช่นเดียวกับ พล.อ.อนุพงษ์ และ พล.อ.ประวิตร
หลัง พล.อ.ประวิตร เกษียณในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) พล.อ.อนุพงษ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ นายทหารจาก “บูรพาพยัคฆ์” ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง ผบ.ทบ. ตามพี่ใหญ่ และมีบทบาทสำคัญในทางการเมืองในเวลาต่อมา
3 ทหารเสือสู่การเมือง
เมื่อเอ่ยถึงชื่อ “บิ๊กป้อม” ในรั้วสีเขียวรู้ดีว่าเป็นนายทหารที่มีบุคลิกเป็นผู้นำ และมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ทำให้สานสัมพันธ์ได้อย่างกว้างขวางทั้งในวงการทหาร นักการเมือง และแวดวงนักธุรกิจ เป็นนายทหารใจถึงพึ่งได้ และยังครองสถานภาพโสด
ทำให้มีพี่น้องเหล่าทหารที่ใกล้ชิดกันพบปะเป็นประจำ โดยมีศูนย์บัญชาการอยู่ในมูลนิธิป่ารอยต่อ ย่านรามอินทรา สถานที่แห่งนี้เคยถูกบันทึกว่าเป็นสถานที่จัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร จนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ขณะที่ “บิ๊กป้อม” ได้รับเทียบเชิญขึ้นนั่งเก้าอี้รมว.กลาโหม
เมื่อครั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ทำรัฐประหารโค่นรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ทั้ง “บิ๊กตู่” และ “บิ๊กป้อม” ก็มีส่วนสำคัญในการวางเกมจนสำเร็จลุล่วง กระทั่ง พล.อ. ประยุทธ์ ผงาดขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร ได้นั่งควบเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ ได้นั่งเก้าอี้ มท.1
ยากที่จะปฏิเสธว่า ความสัมพันธ์อันแนบแน่นของ “พี่น้อง 3 ป.” ที่เป็นมากกว่ารุ่นพี่-รุ่นน้อง ตั้งแต่รับราชการทหาร กระทั่งเข้าสู่เส้นทางการเมืองหลังเกษียณราชการ กำหนดภารกิจทางการเมือง เหมาะสมกับบุคลิกและความสามารถ ในด้านการบริหาร และดูแลความมั่นคง การกำหนดกรอบนโยบายให้ฝ่ายการเมืองเดินตามโรดแมปของประเทศที่วางไว้
กลายเป็นจุดแข็งที่ทำให้เกิดเสถียรภาพทางการเมือง และสามารถควบคุมสถานการณ์ของบ้านเมืองให้อยู่ในความสงบตลอด 5 ปีของรัฐบาล คสช.
3 พี่น้อง “ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์” ยังจะจูงมือเดินไปด้วยกันอีกครั้ง ภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
รายงานโดย...ทีมข่าวการเมือง
หน้า 14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3476 วันที่ 6-8 มิถุนายน 2562