กรณีกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ(ก.ก.บห.พปชร.) 18 คน ยื่นใบลาออก จากทั้งหมดที่มีอยู่ 34 คน ซึ่งถือว่าเกินครึ่ง ส่งผลให้กรรมการบริหารพรรคทั้งหมดต้องสิ้นสภาพไป
แต่ยังมีขั้นตอนตามกฎหมายพรรคการเมือง ที่จะเกิดขึ้นอีกตามมา นั่นคือการเลือกตั้งหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่
ทั้งนี้ เมื่อเปิดดูข้อบังคับพรรคพลังประชารัฐ ต้องบอกว่าการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่ทำได้ง่ายๆ
ข้อบังคับพรรคพลังประชารัฐ ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อเดือนมกราคม 2562 มีประเด็นเกี่ยวกับการพ้นตำแหน่งของกรรมการบริหารพรรค และการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่เอาไว้แบบนี้
- การลาออกของกรรมการบริหารพรรคเกินครึ่งหนึ่ง เข้าข้อบังคับพรรค ข้อ 15 (3) กรรมการบริหารพรรคการเมืองทั้งคณะพ้นจากตำแหน่ง เมื่อกรรมการบริหารพรรคว่างลงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของกรรมการบริหารพรรคท้งหมด
- ขั้นตอนหลังจากนี้ ให้จัดการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ภายใน 45 วัน นับตั้งแต่วันที่กรรมการบริหารพรรคพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ แต่ให้กรรมการบริหารพรรคชุดเก่าอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ซึ่งเป็นไปตามข้อบังคับพรรคข้อ 15 เช่นกัน
- การเลือกตั้งหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค เหรัญญิกพรรค นายทะเบียนสมาชิกพรรค และกรรมการบริหารอื่นของพรรคการเมือง ต้องดำเนินการโดยที่ประชุมใหญ่ของพรรคการเมือง ตามข้อบังคับพรรคข้อ 40
- องค์ประชุมใหญ่พรรคการเมือง เป็นไปตามข้อบังคับพรรค มาตรา 37 ประกอบด้วย
1. กรรมการบริหารพรรคไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการบริหารพรรคทั้งหมด (ชุดที่รักษาการ)
2. ผู้แทนของสาขาพรรคการเมืองไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสาขาพรรคการเมือง ซึ่งในจำนวนนี้จะต้องประกอบด้วยผู้แทนของสาขาพรรคการเมืองไม่น้อยกว่า 2 สาขา ซึ่งมาจากต่างภาคกัน
3. ตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด
4. สมาชิกพรรคการเมือง
สำหรับองค์ประชุมใหญ่ของพรรคการเมือง ต้องรวมกันทั้งหมดไม่น้อยกว่า 250 คน การลงมติให้ถือเสียงข้างมาก
เป็นที่น่าสังเกตว่า ข้อบังคับพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อเดือนมกราคม 2562 เขียนล้อมาจากพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 จึงมีขั้นตอนและรูปแบบการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคแบบพื้นๆ เท่านั้น ไม่มีข้อกำหนดพิเศษซับซ้อนเหมือนกับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีการให้น้ำหนักคะแนนของ “โหวตเตอร์” แตกต่างกัน เช่น ส.ส. 1 เสียง คิดเป็นคะแนนมากกว่า 1 คะแนน เป็นต้น แต่ของพรรคพลังประชารัฐไม่มีข้อกำหนดพิเศษแบบนั้น
จากข้อบังคับพรรคในลักษณะนี้ ทำให้กลุ่มที่สนับสนุน นายอุตตม สาวนายน และ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตหัวหน้า และอดีตเลขาธิการพรรค ยังมีความหวัง เพราะเสียงส่วนใหญ่ที่ใช้โหวตเลือกกรรมการบริหารชุดใหม่ คือ "สมาชิกพรรค" ซึ่งรวมถึง ส.ส.ด้วย
ส่วนกรรมการบริหารพรรคเป็นเพียงเสียงส่วนน้อย (มีแค่ 34 คน ขณะที่ ส.ส.มี 119 คน และสมาชิกอีกจำนวนมาก)
ขณะที่ผู้แทนสาขาพรรค และตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัง ก็มีไม่มากนัก เนื่องจากพรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคตั้งใหม่
ฉะนั้นเสียงที่จะ “ชี้ขาด” คือเสียง “สมาชิกพรรค” รวมทั้ง ส.ส. จุดนี้เองทำให้เกิดปรากฏการณ์ “งัดข้อ-ประลองกำลัง” ระดม ส.ส.โชว์เพาเวอร์กันเป็นระยะในช่วงที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันก็มีบางกลุ่มในพรรคพลังประชารัฐ ประกาศจะระดมสมาชิกพรรคจากทั่วประเทศให้มาร่วมประชุมใหญ่พรรคกันมากๆ ในช่วงที่จะมีการเลือกตั้งหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคคนใหม่ เพื่อจะได้ลงคะแนนเสียงเลือกฝ่ายที่พวกตนให้การสนับสนุน
ล่าสุด มีรายงานจากพรรคพลังประชารัฐ ว่า สาขาพรรคทั่วประเทศมีราว 4 สาขา และตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดมีครบทุกจังหวัด
“โหวตเตอร์” กลุ่มนี้ ถ้ามากันครบจะมีราวๆ กว่า 80 คนเท่านั้น ครึ่งหนึ่งก็จะอยู่ที่กว่า 40 เสียง
ฉะนั้นเสียงส่วนมากในที่ประชุมใหญ่พรรค คือ ส.ส.และสมาชิกพรรค