ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงศึกษาธิการจะเริ่มต้นฉีดวัคซีนให้เด็กนักเรียนในวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม 2564 เพื่อให้นักเรียนสามารถไปเรียนตามปกติได้ว่า วัคซีนหลักที่กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงสาธารณสุขจะใช้ฉีดเด็กนักเรียนอายุ 12-17 ปี คือ ชั้นมัธยม 1-6 หรือเทียบเท่า คือ วัคซีนไฟเซอร์ที่เป็นแบบ mRNA (Pfizer- BioNTech) จำนวน 4.8 ล้านโดส มีประเด็นที่คาดว่าจะเป็นปัญหาด้านการจัดการ ที่ขอนำมาฝากเตือนล่วงหน้า คือ1. การกระจายวัคซีนจำนวน 4.8 ล้านโดส ใช้เกณฑ์อะไร ทั้งระดับจังหวัด และระดับโรงเรียนในแต่ละจังหวัด เพราะจํานวนนักเรียนทั่วประเทศที่อยู่ในช่วงอายุ 12-17 ปี มีจำนวนมากกว่า 4.8 ล้านคน
ดังนั้นคำถามเรื่องหลักเกณฑ์การกระจายวัคซีนให้กับนักเรียนในทุกโรงเรียนทั่วประเทศจะเป็นเรื่องสำคัญ เพราะความรู้สึกต่อ “ความเป็นธรรม” สำคัญมากต่อนักเรียนและพ่อแม่ผู้ปกครอง 2. การคัดกรองนักเรียนที่ร่างกายหรือสุขภาพที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น โรคอ้วน, โรคทางเดินหายใจ (หอบหืด), โรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคไตวายเรื้อรัง, โรคเบาหวาน เป็นต้น จนถึงการให้ความยินยอม ของพ่อแม่ผู้ปกครองที่จะให้เด็กนักเรียนรับวัคซีน เนื่องจากการฉีดวัคซีนโควิดเป็นเรื่องใหม่สำหรับเด็กนักเรียนการระมัดระวัง การทำความเข้าใจ จนถึงการเฝ้าระวังหลังการรับวัคซีนโดยครูและพ่อแม่ผู้ปกครองเป็นเรื่องสำคัญ
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวด้วยว่า ที่น่ากังวลอีกประเด็นคือ ข้อ 3. การฉีดวัคซีนสำหรับเด็กอายุ 12-17 ปีนี้ นอกจากกระทรวงศึกษาธิการจะใช้วัคซีนชนิด mRNA ของ Pfizer แล้ว ทางสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์เปิดให้บริการฉีดวัคซีนชิโนฟาร์มด้วย ย่อมจะเกิดคำถามว่าวัคซีนทั้งสองนี้มีคุณภาพและประสิทธิภาพต่อการคุ้มครองเด็กนักเรียน เหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร การปล่อยให้ พ่อแม่ผู้ปกครองคิดเองวิเคราะห์เองโดยไม่มีข้อมูลและความเห็นของผู้เชี่ยวชาญจะสร้างความสับสน และนำไปสู่การเข้าใจผิดได้
4. สำหรับนักเรียนที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนในรอบนี้ คำถามคือพวกเขาจะได้รับวัคซีนเมื่อไร และในขณะที่พวกเขายังไม่ได้รับวัคซีน พวกเขาจะไปโรงเรียนพร้อมกับเพื่อนที่ได้รับวัคซีนได้หรือไม่ หรือจะให้นักเรียนที่ได้รับวัคซีนแล้วเท่านั้นที่ไปโรงเรียนได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นความเหลื่อมล้ำต่อการไปโรงเรียน จะเกิดขึ้นทันที และจะนำปัญหาอื่น ๆ ที่ตามมา กระทรวงศึกษาธิการและโรงเรียนมีแนวทางและวิธีการแก้ไขปัญหานี้อย่างไร
และ5. เมื่อนักเรียนได้รับวัคซีนแล้ว ไปโรงเรียนแล้ว ไม่ได้หมายความว่าการติดโควิด 19 จะไม่เกิดขึ้นเพราะวัคซีนเป็นเพียงยาที่ช่วยลดความรุนแรงและการเสียชีวิตจากไวรัสโควิดเท่านั้น มาตรการป้องกันทุกด้าน(Universal Prevention) ของโรงเรียนโดยเฉพาะในชั้นเรียนและห้องอาหารจะทำอย่างไร เราไม่อยากให้เกิดคลัสเตอร์โรงเรียน
“ผมขอฝากข้อเตือน 5 ประการ เพื่อช่วยกระทรวงศึกษาธิการและโรงเรียนคิด ด้วยความหวังว่า การฉีดวัคซีนให้เด็กนักเรียนอายุ 12-17 ปีจะสำเร็จ และเปิดโอกาสให้นักเรียนกลับเข้าสู่ชั้นเรียนได้ ด้วยความปลอดภัย และนำคุณภาพการเรียนการสอนให้เกิดกับนักเรียนต่อไปครับ” ศ.ดร.กนก กล่าว