"นิคมฯราชทัณฑ์โมเดล" แก้ปัญหาผู้พ้นโทษ ต้องกลับมาทำผิดซ้ำ

01 ก.พ. 2565 | 01:26 น.
อัปเดตล่าสุด :01 ก.พ. 2565 | 08:38 น.

แก้ปัญหาผู้พ้นโทษ ไร้งาน ไร้เงิน ต้องกลับมาทำผิดซ้ำ ราชทัณฑ์ - กนอ. ตั้ง "นิคมฯราชทัณฑ์โมเดล" สร้างงานรองรับผู้พ้นโทษ 

กรมราชทัณฑ์  เตรียมความพร้อมหลักสูตรอบรมผู้ต้องขัง ก่อนเข้าร่วมโครงการนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ในปี 2565   แก้ปัญหานักโทษล้นคุก ติดอันดับ 6 ของโลก อันดับ 3 ของเอเชีย อันดับ 1 ของอาเซียน  จำนวนผู้ต้องขังเกินความจุที่เรือนจำแต่ละแห่งรองรับได้

 

สถิติผู้ต้องขังเพิ่มขึ้นทุกปี 

  • ปี 2553 จำนวน 102,210 ราย 
  • ปี 2563 จำนวน 357,968 ราย

ผู้ต้องขังกระทำผิดซ้ำ กลับเข้าสู่เรือนจำ 30,000 คน/ปี ส่วนใหญ่เป็นคดียาเสพติด

 

“คนล้นคุก” เป็นปัญหาสำคัญอย่างมากของระบบราชทัณฑ์ไทย เหมือนกับหลายๆประเทศ และส่งผลกระทบเป้าหมายหลักของการนำคนไปคุมขังเป็นอย่างมาก คือ ทำให้ไม่สามารถจัดระบบสวัสดิการ และไม่สามารถเน้นงานการแก้ไขฟื้นฟูผู้ต้องขังได้อย่างเต็มที่

 

ผลงานทางวิชาการต่างก็มีข้อสรุปที่ตรงกันว่า  ปัญหาผู้ต้องขังล้นเรือนจำ มีสาเหตุมาจากการใช้กฎหมายอาญามากเกินความจำเป็น การใช้มาตรการทางอาญาและการบังคับใช้โทษจำคุกกับผู้กระทำความผิดในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะในคดียาเสพติด รวมทั้งการควบคุมตัวผู้ต้องหาในระหว่างพิจารณาคดีทั้งที่คดีไม่ถูกตัดสินด้วย เพียงเพราะผู้ต้องหาเหล่านั้น ไม่มีเงินประกันตัว 

เมื่อมีผู้ต้องขังมากเกินกว่าศักยภาพการรองรับของเรือนจำ ทำให้กรมราชทัณฑ์ ต้องใช้งบประมาณส่วนใหญ่ไปกับการดูแลการกินการอยู่ของผู้ต้องขัง เมื่อดูในงบประมาณ ปี 2565 ของกรมราชทัณฑ์ จะพบว่า เฉพาะงบประมาณค่าอาหารผู้ต้องขัง ที่คิดเป็น 54 บาทต่อคน/วัน คิดเป็นเงินมากถึงปีละเกือบ  4,500 ล้านบาท  ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นเกี่ยวกับผู้ต้องขังใช้งบ  206 ล้านบาท 

 

ผู้ต้องขังล้นเรือนจำจึงเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน  ซึ่งที่ผ่านมา มีทั้งข้อเสนอและแนวทางแก้ไขที่ทำไปบ้างแล้วหลายแนวทาง ทั้งการใช้มาตรการทางเลือกอื่นแทนการจำคุก เช่น ใช้กำไลอิเล็กทรอนิกส์ในการจำกัดพื้นที่แทนการจำคุก มาตรการคุมประพฤติ บำเพ็ญประโยชน์ ให้ผู้เสพยาเสพติดเป็นผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการบำบัด และอาจรวมถึงการปรับปรุงการใช้กฎหมายอาญาให้เหมาะสม 

 

และเมื่องบประมาณส่วนใหญ่ ต้องถูกใช้เป็นค่าอาหาร ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ทำให้กระบวนการในการบำบัดฟื้นฟูผู้ต้องขังยังไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่ ผู้ต้องขังที่พ้นโทษออกไปจำนวนมาก จึงกลับเข้ามาสู่เรือนจำอีก เพราะเมื่อออกไปแล้ว ไม่สามารถหางานทำได้ ไม่มีใครรับเข้าทำงาน ไม่มีรายได้ จนบางส่วนตัดสินใจกลับไปกระทำความผิดซ้ำ ทั้งที่คนเหล่านี้จำนวนมากเคยมีความต้องการที่จะกลับไปใช้ชีวิตปกติให้ได้ 

\"นิคมฯราชทัณฑ์โมเดล\" แก้ปัญหาผู้พ้นโทษ ต้องกลับมาทำผิดซ้ำ

“อัตราการกระทำผิดซ้ำ” ช่วงพ.ค.2562 – เมษายน 2563  ผู้ต้องขังกระทำผิดซ้ำ 3,865 คน และหากดูสถิติการปล่อยตัวของผู้ต้องขังที่ได้รับการปล่อยตัว 2561  ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด เป็นคดีที่มีอัตราการกระทำผิดซ้ำของผู้ต้องขังติดอันดับ1 ถึงร้อยละ63.02 (ข้อมูล ณ วันที่ 18 ธันวาคม 2562)


เมื่อแก้ปัญหา “การกระทำความผิดซ้ำ” อย่างเป็นรูปธรรม กระทรวงยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์ จึงมีโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ขึ้น เพื่อเป็นแหล่งรองรับผู้ต้องขังที่ใกล้พ้นโทษได้มีงานทำ และหากทำงานได้ดี ก็จะถูกจ้างงานต่อทันทีที่พ้นโทษ 

นายสิทธิ สุธีวงศ์  รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์

นายสิทธิ สุธีวงศ์  รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงความคืบหน้า การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมกรมราชทัณฑ์นำร่อง 4 แห่ง  โดยเปิดเผยว่า การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กำลังดำเนินการคัดเลือกผู้ประกอบการหรือโรงงานที่มีความเหมาะสมที่จะร่วมโครงการ  ผ่านการสำรวจความต้องการของผู้ประกอบการ

 

และจัดทำกรอบเวลาประกาศเชิญชวนจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมนิคมราชทัณฑ์ ส่วนกรมราชทัณฑ์ และกรมคุมประพฤติ จะดำเนินการเตรียมความพร้อมของผู้ต้องขังเข้าที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการ ทั้งรูปแบบการจัดอบรมหลักสูตรต่างๆ รูปแบบการคุมประพฤติ เตรียมอุปกรณ์ EM  และเตรียมบุคลากรเพื่อติดตามความคืบหน้าของผู้ต้องขังกลุ่มนี้  

 

“การให้โอกาสผู้พ้นโทษเป็นสิ่งจำเป็นต่องานราชทัณฑ์เป็นอย่างมาก เพราะแม้ว่าผู้พ้นโทษ จะได้รับการปรับปรุง แก้ไข และพัฒนาพฤติกรรมได้ดีเพียงใด แต่ถ้าหากสังคมยังตีตราไม่ยอมให้โอกาสผู้ก้าวพลาด เขาก็ไม่สามารถที่จะมีชีวิตอยู่ร่วมในสังคมได้ กลายเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เขากลับมากระทำผิดซ้ำอีก ดังนั้นเราต้องอาศัยการสื่อสารให้สังคมยอมรับ ให้โอกาสในการสร้างงานสร้างอาชีพให้ผู้กระทำผิด ให้มีโอกาสได้ แก้ไขปรับปรุงตัวเอง เพื่อกลับคืนเป็นคนดีสู่สังคมอย่างยั่งยืน นั่นเป็นแนวคิดการจัดตั้งนิคมอุสาหกรรมราชทัณฑ์”   รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าว

\"นิคมฯราชทัณฑ์โมเดล\" แก้ปัญหาผู้พ้นโทษ ต้องกลับมาทำผิดซ้ำ

รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ยังเปิดเผยว่า จำนวนผู้ต้องขัง เพิ่มมามาตลิดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในปี 2563-2564 เป็นช่วงที่สถิติสูงสุดถึง 3.8 แสนคน แต่ศักยภาพของเรือนจำที่สามารถรองรับผู้ต้องขังได้จริงๆมีเพียงประมาณ 2 แสนคน และเมื่อใช้วิธีที่จะลดปัญหาการแออัด ด้วยการผลักดันให้ผู้ต้องขังพ้นโทษเร็วขึ้น ภายใต้เงื่อนไขพักการลงโทษ  ก็ถูกสังคมอาจมองในอีกมุมว่า เป็นแนวทางที่ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่

 

แม้จะยังอยู่ภายใต้การควบคุมความประพฤติก็ตาม ดังนั้นโครงการนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ จึงถือเป็นช่องทางใหม่ที่สำคัญ ที่จะให้ผู้ต้องขังกลุ่มนี้ได้ออกไปประกอบอาชีพ นอกจากจะช่วยลดปัญหาความแออัดในเรือนจำแล้ว การที่ทำให้เขากลายเป็นแรงงาน มีอาชีพ มีรายได้ ก็จะช่วยลดปัญหาการกระทำความผิดซ้ำได้อีกด้วย 

 

“ช่วงโควิดที่ผ่านมา แรงงานต่างชาติหายไปเกือบหมด ดังนั้นเราจำเป็นต้องป้อนคนเข้าสู่ตลาดแรงงานอยู่แล้ว โครงการนี้ยังเป็นการสนับสนุนแรงงานมีฝีมือให้กับภาคเอกชนในสาขาที่ขาดแคลน  ผมมองว่ากลุ่มผู้ต้องขังที่ใกล้พ้นโทษสามารถไปเป็นแรงงานให้ภาคอุตสาหกรรมได้ ไม่ต้องไปพึ่งพาต่างชาติ ไม่ว่าจะเกิดวิกฤตอะไร” รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าว 

 

“นิคมอุตสาหกรรมสมุทรปราการโมเดล”  คือโครงการระยะสั้น ที่เปิดขึ้นมาทดลอง ในระหว่างที่นิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์นำร่อง 4 แห่ง อยู่ในกระบวนการภาพใหญ่ ซึ่งเป็นโครงการระยะยาว  โดยโครงการนี้จะจำลองพื้นที่ของจังหวัดสมุทรปราการโดยเรือนจำกลางสมุทรปราการ จะส่งผู้ต้องขังที่ได้รับการพักการลงโทษออกไปทำงานกับผู้ประกอบการในพื้นที่  ไปพร้อมกับการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้ผู้ประกอบการโรงงานต่างๆ ทราบถึงแนวทางของโครงการนี้  ก่อนจะมีการคัดเลือกผู้ต้องขังที่ใกล้พ้นโทษ ภายใต้หลักเกณฑ์ของกรมราชทัณฑ์

 

เช่น เป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นกลางขึ้นไป  ผ่านการจำคุกครั้งแรก หรือหากเป็นนักโทษกระทำผิดซ้ำ ก็ต้องผิดได้ไม่เกิน  2 ครั้ง ต้องโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ใน3 ของกำหนดโทษ  เหลือโทษจำคุกต่อไปไม่น้อยกว่า 1 ปี  ไม่มีโรคประจำตัว   สุขภาพร่ากายแข็งแรงอายุไม่เกิน 53 ปี และต้องผ่านการอบรมในศูนย์เตรียมความพร้อมด้านฝึกทักษะ การทำงานในภาคอุตสาหกรรม ตามที่กรมราชทัณฑ์กำหนด 

 

ผู้ต้องขังกลุ่มนี้เมื่อได้รับการคัดเลือกแล้วจะนำเข้าสู่การอบรม ตามระยะเวลา 1 เดือน ทั้งภาคทฤษฏีและปฏิบัติ  หลังจากนั้นจะทำการเชิญผู้ประกอบการเข้ามาคัดเลือก   ซึ่งนิคมอุตสาหกรรมราทัณฑ์สมุทรปราการโมเดลมีผู้ต้องขังกว่า200 คนเข้าร่วม   และผู้ประกอบการในพื้นที่สนใจเข้าคัดแรงงานไปร่วมงาน  โดยระหว่างการทำงานจะมีการติดอุปกรณ์ EM  และเงื่อนไขที่ต้องอยู่กับผู้ประกอบการอย่างน้อย 1 ปี หรือจนกว่าจะพ้นการพักการลงโทษ   จุดนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญว่าสังคมจะให้การยอมรับมากขึ้น  เพราะพวกเขาถูกเปลี่ยนสถานะ 

 

“ ผมเชื่อว่าทรัพยากรมนุษย์พัฒนาได้ วันหนึ่งหากเขาก้าวพลาดกระทำผิด เพราะความไม่รู้เราก็สามารถทำให้เขากลับมาเป็นคนดีได้ด้วยการให้อภัย  และการยอมรับมีที่ยืนสังคมไม่กลับเข้าไปเป็นผู้กระทำผิดซ้ำ” รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวทิ้งท้าย