"บิ๊กตู่"ดัน"ไทย ไรซ์ นามา" ต้นแบบทำนา ลดโลกร้อนที่ยั่งยืน

17 พ.ค. 2565 | 02:57 น.
อัปเดตล่าสุด :17 พ.ค. 2565 | 10:33 น.

นายกฯยินดีเยอรมนีชู “ไทย ไรซ์ นามา” เป็นต้นแบบการทำนาลดโลกร้อนที่ยั่งยืน ผลักดันการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มรายได้เกษตรกร และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยเทคโนโลยี 4 ป.


นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่ไทยและเยอรมนีร่วมกันผลักดันโครงการการทำนาลดโลกร้อน พร้อมชู “ไทย ไรซ์ นามา” ต่อยอดความร่วมมือเพื่อพัฒนากระบวนการผลิตที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ เพิ่มผลผลิตและรายได้อย่างยั่งยืน

 

รวมทั้งสร้างภูมิคุ้มกันและวางแนวทางเกษตรกรชาวนายุคใหม่ให้สามารถปรับตัวตามสภาพแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ หวังบรรลุเจตนารมณ์ของรัฐบาลไทยจากเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและเป้าหมายการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในอนาคต ตามแนวทางลดผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศอันเป็นวาระสำคัญของประชาคมโลก
 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม

 

 โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดภาวะโลกร้อนจากการทำนาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ ไทย ไรซ์ นามา (Thai Rice NAMA) เกิดจากความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐของไทย ร่วมกับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) และได้รับงบประมาณสนับสนุนจาก NAMA Facility เพื่อแก้ไขปัญหาความเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศจากรูปแบบการทำนาดั้งเดิมที่สามารถปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถึง 55% ของภาคเกษตรกรรมทั้งหมดในไทยและมากเป็นอันดับ 4 ของโลก

 

อีกทั้งการขังน้ำในนาข้าวทำให้เกิดการปล่อยก๊าซมีเทนที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 28 เท่า จึงเป็นความท้าทายของทุกภาคส่วนในการหาแนวป้องกันและผลักดันการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมของไทยให้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น ผ่านนโยบายการสนับสนุนทางการเงินเพื่อสร้างแรงจูงใจในการเปลี่ยนรูปแบบการทำนา

อีกทั้งถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการทำนาสมัยใหม่ด้วยเทคโนโลยี 4 ป. กล่าวคือ 1. ปรับระดับพื้นที่นาด้วยระบบเลเซอร์ (Laser Land Leveling -LLL) คือการปรับพื้นที่นาให้เรียบสม่ำเสมอ ลดต้นทุน เพิ่มการผลิต ได้กำไรมากขึ้น 2. เปียกสลับแห้ง คือการปลูกเพื่อทำให้ต้นข้าวแข็งแรง ต้านทานโรคและแมลงได้

 

3. ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน คือ การนำดินเข้าห้องทดลองเพื่อหาค่าความเหมาะสมในการใช้ปุ๋ย และ 4. แปรสภาพฟางและตอซังข้าว คือ ไม่เผาแต่เน้นแปรรูป ผ่านกลุ่มเกษตรกรนาแปลงใหญ่ ศูนย์ข้าวชุมชน และกลุ่มสหกรณ์การเกษตรในพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ชัยนาท สิงห์บุรี สุพรรณบุรี และปทุมธานี ซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว่า 2.8 ล้านไร่

 

ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาเป็นต้นแบบความสำเร็จด้านการทำนายุคใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่งต่อแนวคิดสู่เกษตรกรรายย่อยให้ครอบคลุมในทุกพื้นที่ประเทศไทยด้วยมาตรการ “3 เพิ่ม 3 ลด” คือ เพิ่มผลผลิตข้าว เพิ่มคุณภาพข้าว เพิ่มรายได้ ลดต้นทุนการผลิต ลดการใช้น้ำ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและภาวะโลกร้อน

 

โดยผลจากการดำเนินงานในช่วงปี พ.ศ. 2561 – 2564 พบว่า มีเกษตรกรได้รับประโยชน์จากโครงการกว่า 25,000 คน สามารถลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกจากนาข้าวได้กว่า 305,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า