วันที่ 27 กรกฎาคม 2565 กรุงเทพธุรกิจ ร่วมกับ เนชั่นทีวี และ สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย จัดงานสัมมนา "การกระจายอำนาจกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ" ณ โรงแรมพูลแมน คิงพาวเวอร์ กรุงเทพ (รางน้ำ)
โดย ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) รักษาการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวปาฐกถาเรื่อง “ยุทธศาสตร์การกระจายอำนาจเพื่อพลิกเศรษฐกิจไทย”
ดร.สมเกียรติ กล่าวว่า วิธีแก้ปัญหาในแต่ละประเทศ และในโลกคำตอบล้วนมาจากท้องถิ่น เพราะปัญหาเกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ เช่น ในแคลิฟอร์เนีย ภูมิประเทศด้านหนึ่งเป็นมหาสมุทร ด้านที่หลือเป็นภูเขาโอบล้อม เป็นเมืองที่มีมลพิษทางอากาศ
รัฐบาลขณะนั้นไม่ยอมแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศที่เกิดจากการใช้รถยนต์ การแก้ปัญหาล่าช้า ทำให้มีการรวมกลุ่มแนวร่วมสีเขียว มาสู้กับแนวร่วมสีเทา คืออุตสาหกรรมรถยนต์ ประชาชนรวมตัวต่อสู้
จนแคลิฟอร์เนียเป็นมลรัฐแรกในอเมริกาที่ออกกฎหมายอากาศสะอาด หลังจากนั้นรัฐบาลสหรัฐก็ออกกฎหมายเดียวกันทั่วประเทศ และสุดท้ายเป็นต้นแบบกฎหมายสะอาดทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย
ดร.สมเกียรติ กล่าวอีกว่า ขณะที่ปัญหาปากท้อง ที่มาจากคนว่างงาน แม้ปัญหามาจากนอกประเทศ จากสงครามรัสเซีย- ยูเครน ทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อในประเทศที่พัฒนาแล้ว และค่าเงินบาทอ่อน ทำให้สินค้าราคาแพง
โจทย์ทางเศรษฐกิจแบบนี้ใครเป็นคนแก้ ถ้าดูจากภาพใหญ่รัฐบาลส่วนกลางเป็นคนแก้ ซึ่งหนีไม่พ้นธนาคารแห่งประเทศไทย แม้การแก้ไขปัญหาปากท้องจะเป็นเรื่องใหญ่แค่ไหน สุดท้ายก็ต้องแก้ไขในจุดที่มีปัญหา คือแก้ที่เมืองนั่นเอง
ดังนั้นปัญหาในเมืองยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ยิ่งต้องแก้ที่จุดนั้นมากกว่าไปแก้ที่รัฐบาลกลาง ไม่ว่าปัญหาขยะ สิ่งแวดล้อม การจราจร สาธารณภัย ฯลฯ จะรอรัฐบาลกลางแก้ก็ได้ แต่หลายเรื่องการแก้ที่ท้องถิ่นที่เทศบาลจะได้ผลมากยิ่งกว่า และผู้นำท้องถิ่นคือ นายกฯเทศมนตรี เป็นผู้ที่สามารถสร้างความไว้วางใจ จำเป็นอย่างยิ่งในการแก้ไขปัญหายากๆได้
ดร.สมเกียรติ กล่าวว่า เมืองที่สำคัญที่สุดในประเทศไทยคือ กรุงเทพ เพราะมีขนาดที่ใหญ่โต ถ้าเทียบความใหญ่ของเมืองอันดับหนึ่ง กับเมืองที่ใหญ่อันดับสอง
กรุงเทพเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่โตกว่าหลายประเทศมากในประเชิงประชากร เช่น กรุงเทพ โตกว่าเมืองอันดับสองอย่างเชียงใหม่ 9 เท่า ขณะที่หลายประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่นโตกว่าแค่ 3-4 เท่า
ถ้าจะดูการแก้ไขปัญหากรุงเทพ คงเป็นกรณีศึกษาได้ แต่ประเด็นสำคัญคือ กรุงเทพไม่ใช่ประเทศไทย กรุงเทพเป็นเพียงเมืองหนึ่งในประเทศไทยเท่านั้น
ที่สำคัญเราไม่ควรเสี่ยงเอาอนาคตประเทศไทยไปผูกไว้กับกรุงเทพ เพราะแม้กรุงเทพ ต่อให้มีผู้ว่าฯกทม.ที่แข็งแกร็งที่สุดในปฐพี แต่ปัญหาอาจจะแข็งแกร็งกว่าผู้ว่าฯกทม.ก็ได้
ปัญหาที่เป็นรูปธรรมอีกอย่างของเมืองคือ ปัญหาน้ำท่วม เราเริ่มเห็นแล้วว่า ปัญหาฝน1,000 ปี หรือฝน 2,000 ปี มันจะตกทุกปีได้ในอนาคตจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และมีการพยากรณ์ว่า อีกไม่เกิน 30 ปี กรุงเทพและปริมณฑล ตลอดจนภาคกลางตอนล่างอาจจะจมในทะเลก็ได้
ถ้าเราเอากิจกรรมเศรษฐกิจทั้งหมด กับการตัดสินใจทั้งหมดอยู่ที่กรุงเทพ แล้วถ้ากรุงเทพเกิดปัญหาในอนาคตประเทศไทยจะเป็นอย่างไร
คำตอบอยู่ที่ท้องถิ่นแต่ละท้องถิ่น เทศบาลแต่ละเทศบาล ในประเทศไทย
ส่วนปัญหาปากท้องชาวบ้าน ที่กำลังเป็นเรื่องใหญ่ก็เป็นงานของเทศบาล ซึ่งตัวอย่างในการแก้ไขปัญหาชาวบ้านหลายแห่ง เช่นที่จังหวัดยะลา และที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ท้องถิ่นมีการแก้ปัญหาโดยใช้โซเชียลเป็นเครื่องมือในการค้าขายช่วงวิกฤติโควิด เป็นตลาดออนไลน์ แทนตลาดกายภาพ
แม้แต่การฉายหนังกลางแปลงในกรุงเทพ ประชาชนระดับกลางบอกชอบ ชอบตรงที่มีพื้นที่สาธารณะ ทำให้เกิดบรรยากาศความคึกคักของเมือง แต่คำตอบของรองผู้ว่าฯ กทม.บอกว่าจุดประสงค์การจัดหนังกลางแปลงเพื่อต้องการแก้ไขปัญหาปากท้องชาวบ้าน ขายหาบเร่แผงลอย ที่ถูกจัดระเบียบ จนชาวบ้านมีปัญหาทำมาหากินไม่ได้
เมื่อเกิดโควิดระบาดทำให้คนกรุงเทพ ตกงานมากขึ้น พอมีหนังกลางแปลงคนที่ดีใจไม่แพ้ชนชั้นกลางก็คือชาวบ้าน นี่คือจินตนาการของเมืองที่ตอบสนองชาวบ้าน
ในตอนท้าย ดร.สมเกียรติ กล่าวว่า ท้องถิ่นมีขีดความสามารถหลายอย่าง สามารถตอบสนองความต้องการอันหลากหลายได้ดีกว่าประเทศ ท้องถิ่นสามารถแก้ปัญหาอย่างองค์รวมเพราะเป็นการแก้ไขในเชิงพื้นที่ ดีกว่าการแก้ไขปัญหาจากรัฐบาลกลาง
ปัญหาของประเทศไทยใหญ่เกินไป คนที่จะแก้ได้ ต่อให้เป็นซุปเปอร์แมน หรือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพีก็ตาม
พร้อมบทสรุปว่า “หลายปัญหาจะแก้ได้ นายกฯเล็กจะแก้ได้มากกว่านายกฯใหญ่ การกระจายอำนาจคือทางออกของประเทศไทย”