“นายกฯ” สั่งคุมเข้ม การระบาด “ฝีดาษลิง” คาดวัคซีนถึงไทยปลายส.ค.นี้

09 ส.ค. 2565 | 01:54 น.
อัปเดตล่าสุด :09 ส.ค. 2565 | 10:09 น.

โฆษกรัฐบาล เผย “นายกฯ” เกาะติดการระบาด “ฝีดาษลิง” ใกล้ชิด สั่งหาทางป้องกัน ควบคุมโรค ไม่ให้แพร่ระบาดวงกว้าง แม้สถานการณ์ยังไม่รุนแรง คาด วัคซีนนำเข้าได้ปลายเดือน ส.ค.นี้ ระบุ หากฉีดเร็วมีโอกาสป้องกันการติดเชื้อเพิ่มขึ้น

วันที่ 9 ส.ค. 65 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยความคืบหน้าการจัดหาวัคซีนโรคฝีดาษวานร (ฝีดาษลิง) โดยขณะนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งจองวัคซีนป้องกันฝีดาษไปแล้ว และคาดว่าจะสามารถนำเข้ามาได้ประมาณปลายเดือนสิงหาคม 2565

 

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้ติดตามสถานการณ์โรคฝีดาษวานรอย่างใกล้ชิด และสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาแนวทางป้องกันและควบคุมโรคฝีดาษวานรไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดในวงกว้าง แม้สถานการณ์ยังไม่รุนแรง แต่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดและรอบคอบ 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีการพัฒนาวัคซีนฯ แล้ว แต่ยังคงต้องติดตามข้อมูลผลข้างเคียงและประสิทธิภาพของวัคซีนเมื่อใช้จริงในประชากร โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้ใช้วัคซีนป้องกันโรคในกลุ่มที่จำเป็น เช่น บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

ทั้งนี้ จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่าคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ได้กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่จะรับวัคซีนฯ เบื้องต้น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มก่อนการสัมผัสเชื้อ (Pre-exposure) ได้แก่ กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเสี่ยงติดเชื้อ และ2.กลุ่มเสี่ยงหลังสัมผัสโรคไม่เกิน 14 วัน (Post-exposure) ซึ่งหากฉีดเร็วจะมีโอกาสป้องกันการติดเชื้อเพิ่มขึ้น 

 

นอกจากนี้ ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เผยข้อมูลอัตราการแพร่ระบาดของไวรัสฝีดาษวานร (RO) ซึ่งกรณีฝีดาษลิง 2022 มีค่า RO ประมาณ 1 – 2 ซึ่งหมายความว่า ผู้ติดเชื้อไวรัสฝีดาษวานรสามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้เพียง 1-2 คน

 

ทำให้คาดคะเนว่าจะสามารถควบคุมการระบาดของโรคฝีดาษวานรได้ไม่ยาก เมื่อเทียบกับค่า RO ของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ย่อย Omicron BA.1 มีค่า RO อยู่ที่ 8.2 และ Omicron BA.2 อยู่ที่ 12

สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทย พบผู้ป่วยยืนยันโรคฝีดาษวานร จำนวน 4 ราย เป็นชาวต่างชาติ 2 ราย และชาวไทย 2 ราย โดยจากการเฝ้าระวังติดตามอาการพบว่าอาการป่วยไม่รุนแรงแม้ยังไม่มียารักษาเฉพาะ

 

โรคนี้สามารถหายได้เองในระยะ 2 – 4 สัปดาห์ โดยให้ยารักษาตามอาการ และไม่ได้ติดต่อกันได้ง่าย ความเสี่ยงที่จะติดโรคนั้น ส่วนใหญ่มาจากการสัมผัสรอยโรคผิวหนัง หรือสัมผัสใกล้ชิดมาก ๆ กับผู้ป่วย

 

“นายกรัฐมนตรีห่วงใยสถานการณ์โรคฝีดาษวานรในประเทศไทย โดยได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ตลอดจนเน้นย้ำการป้องกันตนเอง โดยการปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น ล้างมือบ่อยๆ

 

หากสงสัยว่ามีอาการเข้าข่ายโรคฝีดาษวานรสามารถติดต่อสถานพยาบาลใกล้บ้านเพื่อรับการตรวจหาเชื้อและวินิจฉัยโรค หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน กรมควบคุมโรค 1422 รวมทั้งติดตามข่าวสารจากหน่วยงานรัฐและแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ” นายธนกร กล่าว