วันนี้( 31 ต.ค.65) นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า การประชุมเอเปคที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพครั้งนี้ ถือเป็นการประชุมที่ยิ่งใหญ่ในรอบ 3 ปี ที่มีการประชุมเต็มรูปแบบ ซึ่งมีผู้นำหลายภูมิภาคเข้าร่วม ซึ่งจะเป็นการประชุมหารือถึงปัจจัยสำคัญ ในการฟื้นฟูสถานการณ์ต่างๆ ของโลก โดยเฉพาะปัญหาด้านเศรษฐกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างหนัก
รวมไปถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ และความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เพื่อให้ผู้นำแต่ละประเทศที่เข้าร่วมการประชุมในประเทศไทย ได้เกิดประโยชน์สูงสุดและประสบความสำเร็จในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งเป็นความรับผิดชอบในฐานะเจ้าภาพที่จะต้องทำให้เกิดขึ้น
นายดอน กล่าวว่า ผู้นำที่จะเข้าร่วมการประชุมเอเปคครั้งนี้ เป็นผู้นำระดับสูงสุดของแต่ละประเทศ ยืนยันทั้ง 21 เขตเศรษฐกิจ จะเข้าร่วมการประชุม ส่วนจะเป็นระดับใดนั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์ภายในของแต่ละประเทศ ส่วนประเทศที่จะส่งผู้แทนมาร่วมประชุม ประกอบด้วย มาเลเซีย เพราะจะมีการเลือกตั้ง รวมไปถึงเม็กซิโก เนื่องจากเหตุผลภายในประเทศ ที่สามารถเปิดเผยได้เพียงเท่านี้
สำหรับแขกพิเศษ 3 ประเทศ ที่จะเข้าร่วมการประชุมเอเปคในครั้งนี้ ที่สามารถเปิดเผยได้หนึ่งในนั้นมีประธานาธิบดีประเทศฝรั่งเศส มกุฎราชกุมาร ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมของประเทศซาอุดิอารเบีย และ กัมพูชา
ส่วนการเยือนอย่างเป็นทางการที่ทำเนียบรัฐบาลนั้น เบื้องต้นขณะนี้มี 6 ประเทศ และหนึ่งในนั้นมี นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีน ซึ่งส่วนสำคัญที่สุดที่ไทยในฐานะเจ้าภาพจะต้องดูแล คือ ความปลอดภัยระดับสูงสุดของผู้นำแต่ละประเทศ และเหตุผลที่ไม่สามารถตอบได้ว่าผู้นำแต่ละประเทศมีใครเดินทางมาร่วมประชุมบ้างนั้น เป็นเรื่องของความปลอดภัย โดยขอให้อดใจรอ ไทยพยายามทำให้เกิดความชัดเจน และเตรียมการต้อนรับรวมไปถึงการรักษาความปลอดภัยอย่างเหมาะสม
"มาตรการที่ไทยจะต้องเตรียมการรับมือในช่วงของการประชุมเอเปค มีทั้งมาตรการดูแลด้านความปลอดภัยการแพร่ระบาดโควิด-19 การจราจร ที่ต้องไม่กระทบ กับสภาพปกติของบ้านเมือง และขณะนี้ มีประเทศที่จะขอหารือทวิภาคีร่วมกับไทยจำนวนมาก จนยังไม่สามารถจัดลำดับได้" นายดอน กล่าว
ขณะเดียวกัน ยืนยันว่าการที่รัฐบาลจะครบวาระไม่ส่งผลเป็นอุปสรรคในการหารือ ซึ่งจะเห็นได้จากมีผู้นำหลายประเทศมาร่วมเป็นจำนวนมาก ด้วยความตั้งอกตั้งใจ บางประเทศขอเวลาการหารือเพิ่มมากขึ้น ซึ่งประเทศไทยมีหน้าที่จัดสรรเวลาให้ลงตัว