รายการเนชั่น อินไซด์ ซึ่งดำเนินรายการโดย 2 บก.อาวุโส บากบั่น บุญเลิศ และ วีระศักดิ์ พงศ์อักษร ออกอากาศทาง เนชั่นทีวี ช่อง 22 ช่วงเวลา 17.30 -18.00 น. ได้วิเคราะห์ “วงจรอุบาทว์” ที่เกิดขึ้นกับการเมืองไทย มีประเด็นน่าสนใจดังนี้
ขณะนี้การเมืองไทยมีกระบวนการได้มาซึ่งทุน และ เงิน ที่จะนำไปสู่การช่วงชิงอำนาจทางการเมือง ช่วงชิงอำนาจรัฐ มาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของผู้ที่อาสาเข้ามาไปแก้ปัญหาประเทศ
เห็นตัวเลขแล้ว ตกใจว่าเป็นไปได้หรือ แต่ก่อนเคยมีตัวเลข 30-50-80 ล้าน ออกมา แต่ตอนนี้มีตัวเลขกลายเป็น 30-50-100 ล้านบาท ปรับราคาขึ้น ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นลอย ๆ แต่มีคนระดับเลขาธิการพรรค ระดับรัฐมนตรี ระดับแกนนำพรรค ก็ยอมรับว่า มีการช่วงชิงในลักษณะตัวเลขดังกล่าว
ที่น่าวิตก ที่น่าห่วง มีเกิดขึ้นหลายพื้นที่ เกิดขึ้นกับหลายพรรค เกิดขึ้นกับหลายคน เกิดขึ้นกับอดีตส.ส.หลายคน เกิดขึ้นกับ “บ้านใหญ่” หลายกลุ่ม
ช่างน่าภูมิใจอย่างยิ่ง ดีใจที่คนที่อาสาเข้ามาเป็นตัวแทนรับใช้ประชาชน มีมูลค่าเป็น 100 ล้านบาท
การใช้เงินแบบนี้ พรรคการเมือง กลุ่มการเมืองต่าง ๆ มันต้องจับมือกับ “กลุ่มธุรกิจ” เราเรียกว่า Money Politics หรือ ธนกิจการเมือง เพราะเอาเงินคนอื่นมาลงทุนด้านการเมือง เมื่อมีการ “ลงทุนทางการเมือง” สุดท้ายก็ต้องมีการ “ถอนทุน”
สูตร 3-5-10-30
ตอนนี้ปรากฏการณ์นี้กำลังเกิดขึ้น ซึ่งปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทย แต่จะไปเกิดขึ้น “นอกราชอาณาจักร” เมื่อจะมีการยกขบวนกลุ่มทุน ไปต่างประเทศ และจะพูดคุยกันว่าด้วย “สูตรลับ” เป็น “วงจรอุบาทว์” คือ พูดเรื่องเมืองไทย แต่เวลาตกลง เขาไปตกลงกันที่ต่างประเทศ วงจรนี้ก็จบที่ต่างประเทศ
สูตรวงจรอุบาทว์ที่กำลังเกิด คือ 3 – 5 – 10 คนที่จะตัดสินใจไป มีทั้ง “คนตัวเล็ก-คนตัวกลาง-คนตัวใหญ่”
ใบเบิกทางแรกคือ 3 เป็นแพ็คเกจเล็กสุด
แพ็กเกจขนาดกลางคือ 5
แพ็คเกจต่อไป คือ 10
สูตรนี้กำลังเย้ายวนใจอย่างยิ่งสำหรับ “ผู้ประกอบธุรกิจ” ที่ต้องการเป็นทุนเกี่ยวก้อยกับ “มิติทางการเมือง”
แค่นั้นยังไม่พอ ยังมีสูตรพิเศษ เป็น “รหัสลับ” คือ 3 ถ้าคนที่สนับสนุน 3 เท่ากับว่ากระบวนการจัดการซึ่งจะได้มาซึ่งโครงการของรัฐ เท่ากับ 300 คือ โครงการที่มีมูลค่า 300 ล้านบาท
ถ้าแพ็คเกจ 5 แลกมาได้ซึ่งโครงการมูลค่า 500 ล้านบาท
ถ้าเป็นแพ็คเกจ 10 คือ โครงการระดับ 1,000 ล้านบาท
ถ้า 3 แพ็คเกจนี้ ใครไม่สนใจ ก็มีแพ็คเกจใหญ่ เป็น “GOLD” คือ 30 เป็นขนาดที่จะได้ในโครงการรัฐ ระดับ 3,000 ล้านบาท ขึ้นไป แต่ต้องจ่าย 30 ล้านบาท
สูตรพิเศษตอนนี้คือ 3-5-10-30 โดย 30 จะได้ส.ส. 1 คนไปดูแลติดตามเกาะติดโครงการให้ได้เลย จนจบรัฐบาล ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดปรากฏการณ์ “เบี้ยว”
สะท้านใจ 20 ผู้ประกอบการ
และสูตร 3-5-10 นี้คือสูตร Kick Off ตกลงร่วมกัน แต่วันที่มีการเลือกตั้ง ต้องเติมอีก 3-5-10 เป็น 6-10-20
“ข่าวนี้เป็นข่าวจริงที่เกิดปรากฏการณ์ และสะท้านใจ จูงใจ บรรดาผู้ประกอบการอยู่ และจะมีกลุ่มทุนทั้งรุ่นใหม่ และ รุ่นเก่า ประมาณเกือบ 20 คน ที่จะไปเจรจาความนี้ เพราะรู้แล้วว่า ถ้าเข้าไปอยู่ในกระบวนการ มีโอกาสที่จะได้มากกว่าไม่ได้ จึงต้องจ่ายก่อน”
ดังนั้น ตอนนี้จึงมีปรากฏการณ์ไปหารือกัน “นอกประเทศ” ก็คือ กลุ่ม 20 คน ซึ่งมีจากหลายภาคธุรกิจ ทั้งจากเรื่อง ไอที ระบบงานก่อสร้าง ระบบคอมพ์ ระบบแอร์ ระบบวิศวะ ระบบเกี่ยวข้องกับการบิน ระบบโครงสร้างทั้งหมด
“พอเข้าไปแล้ว มีคนที่จะรับไม้ต่อคือ 1-2-3 ที่จะดูแลเรื่องนี้ตามที่ตกลงกัน จะเข้าไปกุมอำนาจรัฐในฐานะผู้บริหารองค์กร หลังจากนี้ไปไม่นาน”
สำหรับ “นักธุรกิจ”แล้ว ใครๆ ก็ทราบว่า มันก็คือการลงทุน หรือ “ธนกิจการเมือง” ซึ่งโครงการต่าง ๆ ที่มอบให้ ไม่ได้หมายความว่า มอบให้จาก “ตัวการเมือง” เป็นการมอบให้จากโครงการของรัฐ ไปทำงานเอา
“นี่คือการระดมทุนรูปแบบใหม่ในการเมืองไทย ที่เป็นธนกิจการเมือง คือ เอาภาษี เอาแอคเซสของพวกเราทุกคน ไปยกให้คนอื่น แล้วคนอื่นเอางานนั้นไปทำ”
ทั้งนี้ ประเทศไทยในแต่ละปี มีงบประมาณ คือ
ปี 2565 มีงบประมาณรวม จำนวน 3.1 ล้านล้านบาท จำนวน 6 แสนล้านบาท
ปี 2566 มีงบประมาณ 3.185 ล้านล้านบาท มีงบลงทุน 6.95 แสนล้านบาท
ปี 2567 กำลังตั้งงบประมาณ จะมีเงินลงทุนเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ก็น่าจะระดับ 3 ล้านล้านบาทขึ้นไป งบลงทุนก็ไม่น่าจะต่ำกว่า 7 แสนล้านบาท
“พรรคการเมืองฉลาดๆ ในแคมเปญการระดมเงินทุนรูปแบบใหม่ โดยใช้งบประมาณล่อใจ ร้ายกว่านั้น ยังมีบรรดาคนที่เป็นมือดี มือดีที่คิดว่าตัวเองจะเข้าไปเป็นผู้บริหารในองค์กรของรัฐ และมีโอกาสที่จะได้ คอยไปรับเป้าหมาย และมาทำงานให้สำเร็จ”
สูตรจึงเป็นวงจรอุบาทว์ 3-5-10 และ 30 ถ้าเห็นสูตรแบบนี้แล้ว ทุกคน วันเลือกตั้งที่มีเสียงเท่ากัน อย่าให้สูตรแบบนี้เกิดขึ้นกับประเทศไทย ถ้าสูตรแบบนี้เกิดขึ้น นั่นคือ การทำลายระบอบประชาธิปไตย
“ขับเคลื่อนด้วยทุนมีมูลความจริง”
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย เปิดเผยผ่านรายการ “คมชัดลึก” ทางเนชั่นทีวี ช่อง 22 ยืนยันว่า พรรคยังปกติดี ไม่ได้ให้น้ำหนักกับข่าวที่ว่าพรรคมีปัญหา แม้มีบุคลากรเข้าออกบ้างก็เป็นเรื่องปกติทางการเมือง ยังยืนหยัดการทำงานไม่จำเป็นต้องออกมาสำแดงพลังอะไร
ส่วนข้อสังเกตของอดีตรองหัวหน้าพรรค นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ที่ว่ากองทัพอาจสลาย ก่อนเดินนั้น นายสนธิรัตน์ ยืนยันว่า พรรคสร้างอนาคตไทยไม่มีวันสลาย เพราะไม่ได้เดินการเมืองด้วยทุนทางการเมือง หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่ต่างจากพรรคการเมืองอื่น
ทั้งนี้ เป้าหมายพรรค คือ ต้องการเป็นทางเลือกให้ประชาชน ไม่ได้มุ่งหมายชัยชนะโดยมีทุนเป็นปัจจัย ปัจจุบัน การเมืองมาถึงจุดที่ต้องมานั่งคิดกันว่า การต่อสู้กันทางการเมืองด้วยทุนเป็นหลัก จะส่งผลอย่างไรในอนาคต นักการเมืองจึงต้องยืนหยัดที่จะทำงานกับชาวบ้าน ไม่ใช่ทุนที่เขาเอามาให้
แต่ที่สำคัญ คือ พี่น้องประชาชน จะตัดสินใจอยู่บนกลไก ที่การเมืองปัจจุบันกำหนดหรือไม่ พรรคสร้างอนาคตไทย เสนอบุคลากรเป็นทางเลือก ให้กับพี่น้องประชาชน
“การเมืองขับเคลื่อนด้วยทุน ต้องถือว่ามีมูลความจริงอยู่ในนั้น และมีน้ำหนักต่อการเดินเกมการเมืองอย่างมาก ดูได้จากการโยกย้ายทางการเมือง” นายสนธิรัตน์ ระบุ