วันนี้(11 มิ.ย. 66) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวกรณีกกต.มีมติไม่รับ 3 คำร้องสอบ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ว่าที่ส.ส.บัญชีรายชื่อ และแคนดิเนตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล แต่ให้ตั้งคณะกรรมการสอบความผิดฐานรู้อยู่แล้วว่า ไม่มีสิทธิ์ลงสมัครแต่ยังคงลงสมัคร ตาม มาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ว่า ที่ กกต. มีมติ 6 ต่อ 0 ตีตกคำร้อง โดยอ้าง พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 51 และมาตรา 60 นั้น พอฟังได้เฉพาะกรณีประเด็นที่ร้องลักษณะต้องห้ามในคราวสมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อ เมื่อวันที่ 4 เม.ย. 66 เท่านั้น
แต่เนื่องจาก กกต. ไปตั้งเรื่องให้สอบทางอาญาตาม มาตรา 151 ฐานรู้ว่าไม่มีสิทธิสมัคร ส.ส. ซึ่งอาจทำให้เข้าใจได้ว่า กกต. เห็นว่าการถือหุ้นสื่อตามคำร้องเข้าข่ายมีลักษณะต้องห้ามตาม พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 42(3) ประกอบ รธน. มาตรา 98(3)
ดังนั้น ในคำร้องยังมีประเด็นอื่นที่เป็นผลมาจากการถือหุ้นสื่อรวมอยู่ด้วย ซึ่ง กกต.ควรดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป เช่น สมาชิกภาพ ส.ส. เมื่อต้นปี 62 สิ้นสุดลงหรือไม่ หรือ ทำไม กกต.ไม่ดำเนินการตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ตาม พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 14 วรรคสอง ประกอบ รัฐธรรมนูญ มาตรา 89 วรรคสอง ให้ถือว่าไม่มีการเสนอชื่อนายกฯ ใช่หรือไม่
“ตัวอย่างแค่นี้ คงพอเป็นเหตุผลให้ กกต. ย้อนไปดูคำร้องให้ละเอียดว่า ยังมีงานที่ต้องทำตามหน้าที่และอำนาจต่อไปหรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไป หลังวันจันทร์ที่ 12 มิ.ย.ศกนี้” นายเรืองไกร ระบุ