นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) โพสต์เฟซบุ๊ก ในหัวข้อ “ประธานสภาผู้แทนราษฏรคนใหม่ ด่านที่ 1 ของการแก้ 112 แบบก้าวไกล” ระบุว่า ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าผู้ที่จะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 26 ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2566 นี้สำคัญมาก สำคัญไม่แพ้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30
เนื่องจากจะมีความเกี่ยวข้องกับประเด็นการแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกลโดยตรง
การแก้ไขในลักษณะที่เป็นการลดระดับการคุ้มครององค์พระมหากษัตริย์ !
เพราะชัดเจนแล้วว่าร่างแก้ไขมาตรา 112 จะไม่ได้เสนอในนามคณะรัฐมนตรีของ 8 พรรคร่วมรัฐบาล ที่ลงนามใน MOU กันไป เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2566 แต่จะเสนอในนามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกล
ตรงนี้แหละคือประเด็น !
การเสนอร่างกฎหมายในนามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวนไม่น้อยกว่า 20 คน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 139 (2) จะไม่ได้รับการบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมในทันที เหมือนการเสนอโดยคณะรัฐมนตรี ตามมาตรา 139 (1) แต่จะต้องผ่านการตรวจสอบและวินิจฉัยจากประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้บรรจุเข้าระเบียบวาระเสียก่อนจึงจะพิจารณาได้ โดยในการบริหารจัดการประธานสภาผู้แทนราษฎร อาจมอบหมายให้รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ทำหน้าที่แทนได้
ถือเป็นด่านที่ 1 ในจำนวนทั้งหมด 9 ด่านก่อนร่างกฎหมายจะผ่านออกมามีผลใช้บังคับ
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกลเคยเสนอร่างฯ มาครั้งหนึ่งในสภาผู้แทนราษฎรชุดที่แล้ว ตั้งแต่เมื่อต้นปี 2564
แต่แม้เสนอแล้ว ก็ไม่เคยได้รับการบรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเลยจนครบวาระ แม้จะมีการทวงถามจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกลหลายครั้ง
เพราะ นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฏรคนที่ 1 ในขณะนั้น ชึ่งได้รับมอบหมายจาก นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฏร ในขณะนั้นให้รับผิดชอบงานด้านพิจารณาบรรจุเรื่องเข้าระเบียบวาระการประชุม วินิจฉัยว่าร่างกฎหมายของพรรคก้าวไกลน่าจะขัดรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 6
จึงไม่บรรจุเข้าระเบียบวาระ
ทั้งนี้ เป็นการวินิจฉัยโดยรับฟังความเห็นทางกฎหมายจากสำนักการประชุม สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เจ้าหน้าที่หน่วยงานฝ่ายประจำที่รับผิดชอบโดยตรง
สำนักการประชุมได้ให้ความเห็นทางกฎหมายพอสรุปได้ตามภาษาราชการในบันทึกถึงรองประธานสภาผู้แทนราษฎรไว้ดังนี้
“ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เนื่องจากมีบทยกเว้นความผิดกับบทยกเว้นโทษ กรณีถ้าเป็นการติชม แสดงความเห็น หรือแสดงข้อความใดโดยสุจริต เพื่อรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อธำรงไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญ หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ ถ้าผู้ถูกกล่าวหาพิสูจน์ได้ว่าเรื่องนั้นเป็นความจริง ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ แต่ห้ามมิให้พิสูจน์ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นอยู่ส่วนพระองค์ และการพิสูจน์ไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน…”
“บทบัญญัติยกเว้นความรับผิดกับการยกเว้นโทษดังกล่าวนี้ เห็นว่าน่าจะขัดกับมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญ…”
ทั้งนี้ สำนักการประชุมได้อ้างอิงคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2562 และ 28-29/2555 ประกอบความเห็นทางกฎหมายด้วย
ความเห็นทางกฎหมายของสำนักการประชุม สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเมื่อปี 2564 มีความสำคัญมากมาจนถึงวันนี้
เพราะเมื่อมีผู้ยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด ขอให้ส่งความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยสั่งการให้พรรคก้าวไกลยกเลิกการเสนอแก้ไขมาตรา 112 เพราะมีลักษณะเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างระบอบการปกครองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 อัยการสูงสุดได้ขอทราบความเป็นมาและข้อวินิจฉัยทางกฎหมายของประธานสภาผู้แทนราษฎร/รองประธานสภาผู้แทนราษฎรเมื่อปี 2564 - 2565 มายังสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรด้วย และสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้จัดทำคำชี้แจงตอบกลับไป
คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฉบับ โดยเฉพาะฉบับที่ 28-29/2555 ที่กล่าวถึงมาตรา 112 โดยตรงก็มีความสำคัญมากเช่นกัน
เพราะกรณีตามมาตรา 49 นี้ ในที่สุดมีความเป็นไปได้ที่จะถึงศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยชี้ขาด
ตัดภาพกลับไปที่ปี 2564
นายสุขาติ ตันเจริญ ได้จัดให้มีการหารือร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรมากกว่า 1 ครั้ง หลังจากอภิปรายกันทุกแง่มุมในทางปฏิบัติแล้ว ได้ความเห็นตรงกัน
จึงวินิจฉัยไม่บรรจุเข้าระเบียบวาระ และส่งร่างกฎหมายคืนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล ผู้เสนอ ให้นำกลับไปแก้ไขไม่ให้มีเนื้อหาที่น่าจะขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 6
พรรคก้าวไกลได้ส่งความเห็นโต้แย้งกลับมาว่า ร่างกฎหมายของพวกเขาหาได้ขัดรัฐธรรมนูญแต่ประการใดไม่
นายสุชาติ ตันเจริญ จึงได้พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ผลการพิจารณายังคงยืนยันข้อวินิจฉัยเดิม คือไม่บรรจุเข้าระเบียบวาระ
นายชวน หลีกภัย เห็นด้วยกับข้อวินิจฉัยนั้น
พรรคก้าวไกลไม่ได้แก้ไขปรับปรุงหลักการและเนื้อหาใหม่ และส่งกลับเข้ามายังสภาผู้แทนราษฎรแต่ประการใด ยังคงนำมาหาเสียงหาคะแนนนิยมตามหลักการของร่างฯ เดิมที่ถูกวินิจฉัยว่า น่าจะขัดรัฐธรรมนูญทุกประการ
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกล เคยมีการอภิปรายพาดพิงถึงเรื่องนี้ในสภาผู้แทนราษฎรชุดที่แล้วหลายครั้ง ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
วันนั้นมีการกล่าวหาประธานสภาผู้แทนราษฏร ว่าไม่บรรจุวาระพิจารณาร่างกฎหมายแก้ไขมาตรา 112 เพราะกลัว
นายชวน หลีกภัย ชี้แจงจากบัลลังก์ประธานสภาผู้แทนราษฎรว่า… “ผมเคยเรียนให้ทราบว่าเราไม่ได้ทำอะไรตามอำเภอใจ และไม่ได้กลัวเลยครับ แต่ยึดความถูกต้องเป็นสำคัญ โดยถือว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้ ที่เตือนไว้ตลอดเวลาด้วยความหวังดี ไม่ได้ตัดสินใจด้วยความกลัว แต่ใช้เหตุผลเป็นหลัก ไม่ใช่เราพูดอะไรไม่ได้”
พรรคก้าวไกลหาเสียงว่า จะเสนอร่างพระราชบัญญัติ 45 ฉบับภายใน 100 วันแรก จึงต้องการตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อผลักดันกฎหมายที่เป็นประโยชน์กับประชาชน
ร่างฯ แก้ไขมาตรา 112 เป็น 1 ใน 45 ฉบับ
ผมเชื่อในความเป็นมืออาชีพและความเป็นกลางทางการเมืองของเจ้าหน้าที่สำงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทุกคนทุกสำนัก โดยเฉพาะสำนักการประชุม ถ้าร่างพระราชบัญญัติที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร พรรคก้าวไกล จะเสนอเข้ามามีหลักการตามร่างฯ เดิมที่เคยเสนอเมื่อปี 2564 ก็ไม่มีเหตุผลที่ความเห็นทางกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่จะเสนอขึ้นไปยังประธานสภาผู้แทนราษฎร และหรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎรผู้ได้รับมอบหมายจะแตกต่างไปจากเดิม
แต่เมื่อความเห็นของเจ้าหน้าที่ส่งขึ้นไปแล้ว
ตรงนั้นแหละคือประเด็น
ประธานสภาผู้แทนราษฎรคนใหม่ และหรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนใดคนหนึ่งที่อาจได้รับมอบหมาย จะวินิจฉัยอย่างไร และมีวิธีบริหารจัดการปัญหาอย่างไร เหมือนหรือต่างจากประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับมอบหมายของสภาผู้แทนราษฎรชุดที่แล้ว
“ตัวตน” รวมทั้ง “พรรคต้นสังกัด” ของประธานสภาผู้แทนราษฎรคนใหม่ จะเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญยิ่งต่อคำตอบนี้
สำคัญอย่างไร คงไม่ตัองอภิปรายลงในรายละเอียดมากกว่านี้
หมายเหตุ 1 : ประเด็นเนื้อหาที่เป็นการลดระดับการคุ้มครองพระมหากษัตริย์ ผมได้พูดไปเต็มที่แล้วในโพสต์ก่อนหน้านี้รวม 2 ครั้ง จะไม่ขอกล่าวซ้ำอีก