ส่องอำนาจ "ส.ว." ทำไมถึงโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้ เช็คที่นี่

11 ก.ค. 2566 | 17:01 น.

ส่องอำนาจ "ส.ว." ทำไมถึงโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้ เช็คที่นี่มีคำตอบ ฐานเศรษฐกิจรวบรวมข้อมูลไว้ให้หมดแล้ว หลังวันที่ 13 ก.ค. 66 จะเป็นวันแรกในการออกเสียงเลือกนายกฯคนที่ 30 ของประเทศไทย

ส.ว.มีอำนาจอย่างไรในการโหวตนายกรัฐมนตรี เป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมาก หลังจากที่ประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่กระบวนการโหวตนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ครั้งแรกวันที่ 13 ก.ค. 66 

ทั้งนี้ "ฐานเศรษฐกิจ" จะพาไปรู้จักกับ ส.ว. ให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อไขข้อสงสัยเรื่องของที่มาที่ไปของ ส.ว. และอำนาจที่มี 

ส.ว. คืออะไร

ส.ว. ย่อมาจากสมาชิกวุฒิสภา เป็นตัวแทนของประชาชนเหมือนกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่ก็ยังมีข้อที่แตกต่างกัน เช่น จํานวน ที่มา การสังกัดพรรคการเมือง ซึ่งในรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับก็ได้กําหนดจํานวนและที่มาของสมาชิกวุฒิสภาไว้แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น

  • รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 : กําหนดให้วุฒิสภามาจากการเลือกตั้งทั้งหมดจํานวน 200 คน
  • รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 : กําหนดให้วุฒิสภามีจํานวน 150 คน โดยมาจากการเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด จังหวัดละหนึ่งคน และมาจากการสรรหาเท่ากับจํานวนรวมข้างต้นหักด้วยจํานวนสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้ง
  • รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 : กําหนดให้จํานวนและที่มาของวุฒิสภาไว้สองช่วงเวลา คือ

ช่วงที่ 1 : เป็นไปตามบทเฉพาะกาลที่กําหนดให้มี ส.ว. จํานวน 250 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ถวายคําแนะนําโดยมาจากการเลือกของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จํานวน 50 คน และมาจากการคัดเลือกของคณะกรรมการสรรหา ส.ว. จํานวน 194 คน รวมกับผู้ดํารงตําแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ

ช่วงที่ 2 : เมื่อพ้นระยะเวลา 5 ปีนับตั้งแต่วันที่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งดังกล่าวแล้วให้ ส.ว. มีจํานวน 200 คน ซึ่งมาจากการเลือกกันเองของบุคคลซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์อาชีพ ลักษณะ หรือประโยชน์ร่วมกัน หรือทํางานหรือเคยทํางานด้านต่างๆ ที่หลากหลายของสังคม โดยในการแบ่งกลุ่มต้องแบ่งในลักษณะที่ทําให้ประชาชนซึ่งมีสิทธิสมัครรับเลือกทุกคนสามารถอยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้

หน้าที่ ส.ว. 

ส.ว. มีอำนาจหน้าที่ในการกลั่นกรองกฎหมาย ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน โดยการตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรี หรือเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาโดยไม่มีการลงมติ และมีหน้าที่อื่นตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ

อย่างไรก็ดี รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2540) ยังได้บัญญัติให้วุฒิสภามีอำนาจหน้าที่โดยเฉพาะอีกหลายประการ คือ การพิจารณาเลือก แต่งตั้ง ให้คำแนะนำ หรือให้ความเห็นชอบให้บุคคลดำรงตำแหน่งต่างๆ คือ

  • การสรรหาและการเลือกประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้ง
  • ถวายคำแนะนำต่อพระมหากษัตริย์ในการแต่งตั้งผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา และการแต่งตั้งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
  • การสรรหาและการเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และถวายคำแนะนำต่อพระมหากษัตริย์ เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง
  • เลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 คน ซึ่งไม่เป็นหรือเคยเป็นข้าราชการตุลาการ เป็นกรรมการในคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม
  • ให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์และผู้ทรงคุณวุฒิในการบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นตุลาการในศาลปกครองสูงสุด จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนตุลาการในศาลปกครองสูงสุดทั้งหมดและให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งประธานศาลปกครองสูงสุด และเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 2 คน ในคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง
  • ถวายคำแนะนำต่อพระมหากษัตริย์ในการแต่งตั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และการแต่งตั้งเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
  • ถวายคำแนะนำต่อพระมหากษัตริย์ในการแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน และผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน

ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ได้กำหนดอำนาจของเหล่า ส.ว. ให้ทำหน้าที่กลั่นกรองกฎหมายเช่นเดิม แต่ก็ยังมีอำนาจอื่นที่สำคัญด้วย เช่น อำนาจให้ความเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ อำนาจตั้งกระทู้ตรวจสอบฝ่ายบริหาร ฯลฯ

อำนาจบางประการของ ส.ว. ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ก็เป็นอำนาจใหม่ที่เพิ่งมีขึ้นเป็นพิเศษ ถือเป็นมรดกที่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้วางเส้นทางการรักษาอำนาจเอาไว้ เช่น อำนาจในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับสภาผู้แทนราษฎร หรือการติดตามเร่งรัดแผนการปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่เขียนโดย คสช. ฯลฯ

ที่มา : iLaw ,รัฐสภาไทย