เปิดคำพิพากษาไทยไม่ต้องชดใช้“ค่าโง่โฮปเวลล์” 2.4 หมื่นล้านบาท

18 ก.ย. 2566 | 09:06 น.
อัปเดตล่าสุด :18 ก.ย. 2566 | 09:30 น.

เปิดคำพิพากษาศาลปกครองกลางเพิกถอนคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการที่ให้ “คมนาคม-รฟท.” ชดใช้ค่าโง่โฮปเวลล์ 2.4 หมื่นล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย หลังรับพิจารณาคดีใหม่เมื่อปี 65 ชี้คดีขาดอายุความ เหตุโฮปเวลล์ ยื่นร้องอนุญาโตฯ ช้ากว่าก.ม.กำหนดถึง 1 ปี 9 เดือน

วันนี้ ( 18 ก.ย. 66) ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ที่ให้กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.)  ชดใช้ “ค่าโง่โฮปเวลล์” 2.4 หมื่นล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยแก่บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด หลังศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 4 มี.ค. 2565 มีคำสั่งให้ศาลปกครองชั้นต้นรับคำขอพิจารณาคดีใหม่ 

โดยศาลปกครองกลาง เห็นว่า กระทรวงคมนาคม และ รฟท. ได้ทำสัญญา ลงวันที่ 9 พ.ย. 2533 กับ บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ตามสัญญาสัมปทานระบบการขนส่งทางรถไฟ และถนนยกระดับในกรุงเทพมหานคร และ การใช้ประโยชน์จากที่ดินของ รฟท.  มีกำหนดเวลา 30 ปี นับแต่สัญญามีผลบังคับ 

สัญญาดังกล่าวมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการ หลังจากการลงนามสัญญา กระทรวงคมนาคม และ รฟท. เห็นว่า การก่อสร้างมีความล่าช้ามากไม่อาจแล้วเสร็จตามสัญญา จึงมีหนังสือลงวันที่ 27 ม.ค. 2541 บอกเลิกสัญญากับผู้คัดค้าน โดย บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย)  ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญา เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2541 

ในการเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ ต้องยื่นภายในอายุความตามกฎหมาย เมื่อสัญญาสัมปทานดังกล่าวเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ พ.ศ. 2542 การเสนอข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองต่อคณะอนุญาโตตุลาการ จึงต้องเสนอภายใน 1 ปี นับแต่วันที่รู้ หรือ ควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี ตามมาตรา 51 แห่ง พ.ร.บ.เดียวกัน ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนั้น 

เมื่อบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย)ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญา เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2541 จึงต้องเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการภายในวันที่ 30 ม.ค. 2542 แต่บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) ไม่ได้เสนอข้อพิพาทดังกล่าว ในระหว่างนั้นมีการตรา พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาใช้บังคับแทน พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530 แต่ก็มิได้กำหนดเวลาในการเสนอข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองเอาไว้ จึงต้องเป็นไปตามระยะเวลาการฟ้องคดีต่อศาลปกครอง 

การที่ บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) นำข้อพิพาทตามสัญญามายื่นต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ เป็นข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 119/2547 เมื่อวันที่ 24 พ.ย.2547 จึงเกินกว่ากำหนดระยะเวลา 1 ปี ตามมาตรา 51 แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ พ.ศ. 2542 อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นแล้ว 

อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการพิจารณาข้อพิพาทหมายเลขดำที่  119/2547 ของคณะอนุญาโตตุลาการ ได้มีการ ตรา พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2551 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. 2551 โดยมาตรา 4 บัญญัติให้ยกเลิกความในมาตรา 51 เดิม และบัญญัติให้การฟ้องคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองต้องยื่นฟ้องภายใน 5 ปี นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี 

บทบัญญัติดังกล่าวเป็นกฎหมายวิธีสบัญญัติที่มีผลใช้บังคับกับคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาทันที ทำให้ระยะเวลาการฟ้องคดีเปลี่ยนเป็นภายใน 5 ปีนับแต่วันที่รู้ หรือ ควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี ส่งผลทำให้ระยะเวลาการยื่นข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ ในข้อพิพาทตามสัญญาสัมปทานระหว่างกระทรวงคมนาคม รฟท. กับ บริษัท โฮปเวลล์ฯ ขยายเป็นภายใน 5 ปี ซึ่งในการตีความปัญหาข้อกฎหมาย และการปรับใช้ข้อกฎหมายเกี่ยวกับการนับระยะเวลาคดีนี้ มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว ฉะนั้น จึงไม่อาจใช้วิธีการนับระยะเวลาตามระเบียบอื่น หรือ แนวทางการตีความปัญหาข้อกฎหมายเพื่อวินิจฉัยคดีเป็นอย่างอื่นได้ 

ดังนั้น การที่บริษัท โฮปเวลล์ฯ ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญา เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2541 จึงมีสิทธิที่จะเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการได้อย่างช้าที่สุดภายในวันที่ 30 ม.ค. 2546 แต่ บริษัท โฮปเวลล์ฯ กลับยื่นคำเสนอข้อพิพาท เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2547 จึงพ้นระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันที่รู้ หรือ ควรรู้ถึงเหตุแห่งการเสนอข้อพิพาท ตามมาตรา 51 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ พ.ศ. 2542 ที่แก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวไป 1 ปี 9 เดือนเศษ สิทธิเรียกร้องของบริษัท โฮปเวลล์ฯ จึงขาดอายุความตามกฎหมาย 

และโดยที่ปัญหาเรื่องอายุความในการใช้สิทธิเรียกร้อง เป็นบทบัญญัติอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ในการพิพากษาคดี ศาลปกครองสามารถยกขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาได้ตามข้อ 92 แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543

การที่คณะอนุญาโตตุลาการรับข้อพิพาท ที่ผู้คัดค้านยื่นพ้นเวลาไว้พิจารณา และมีคำชี้ขาดข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 64/2551 ลงวันที่ 30 ก.ย.2551 จึงเป็นกรณีที่การยอมรับ หรือ การบังคับตามคำชี้ขาดขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือ ศีลธรรมอันดีของประชาชน ที่ศาลปกครองมีอำนาจเพิกถอนและปฏิเสธการบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการได้ ตามมาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข) และมาตรา 44 แห่ง พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 

นอกจากนี้ กรณีของผู้ร้องทั้งสอง รู้ถึงเหตุแห่งการเสนอข้อพิพาทตั้งแต่วันที่ 27 ม.ค. 2541 ซึ่งเป็นวันที่มีหนังสือบอกเลิกสัญญา และครบกำหนด 5 ปี ในวันที่ 27 ม.ค. 2546 

การที่ได้ยื่นข้อเรียกร้องแย้งต่อคณะอนุญาโตตุลาการ เมื่อวันที่ 20 ก.ย.2548 ขอให้มีคำชี้ขาด และบังคับให้ผู้คัดค้านชำระค่าเสียหายตามข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 44/2550 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 70/2551 จึงเป็นการยื่นเมื่อพ้นกำหนดเวลาตามกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลปกครองมีอำนาจเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการเช่นกัน  

ศาลปกครองกลางจึงพิพากษาให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ในข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 119/2547 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 64/2551 ลงวันที่ 30 ก.ย. 2551 ทั้งหมด และเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 44/2550 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 70/2551 ลงวันที่ 15 ต.ค. 2551 ทั้งหมด 

และมีคำสั่งปฏิเสธไม่รับบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 119/2547 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 64/2551 ลงวันที่ 30 ก.ย. 2551 กับ ให้คำสั่งศาลที่ให้งดการบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อ. 221 - 223/2562 ไว้ในระหว่างพิจารณาคดีใหม่ มีผลใช้บังคับต่อไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุด หรือจนกว่าศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้ยังไม่ถึงที่สุด เนื่องจาก บริษัท โฮปเวลล์ ยังสามารถยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดได้อีก