วันนี้ (20 มีนาคม 2567) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และรองประธานยุทธศาสตร์และการเมือง พรรคเพื่อไทย เปิดเผยภายหลัง Bank of America ได้เชิญไปบรรยายข้อมูลเพื่อสร้างความมั่นใจและชักจูงให้มาลงทุนในประเทศไทยให้กับนักลงทุนรายใหญ่ Blackrock, Fullerton, Pharro, Bluebay, MacQuarie, APG, Dymon, Bluecrest เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า นักลงทุนพอใจกับข้อมูลอย่างมากและสามารถตอบคำถามที่ต้องการได้หมด และคงจะตัดสินใจมาลงทุนในไทยแน่นอน
ทั้งนี้ได้มีคำถามของเหล่านักลงทุนต่างประเทศถึงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ก็ได้ตอบตามตรงว่าหลายโครงการที่พูดมาเริ่มแนวคิดมาตั้งแต่สมัยนายทักษิณ ที่เป็นคนอัจฉริยะ และถ้าหากได้ทำตั้งแต่สมัยรัฐบาลไทยรักไทย ป่านนี้ประเทศไทยน่าจะพัฒนาไปมากกว่านี้มาก แต่ทำตอนนี้ก็ยังไม่สาย
ล่าสุดนายทักษิณยังได้อธิบายให้ฟังเรื่องการแข่งขันการผลิตไมโครชิป โดยไมโครชิปของ Nvidia เป็นแบบ GPU เปรียบเสมือน Hermes ของวงการผลิตไมโครชิป สามารถนำไปใช้งานด้าน Ai ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งแตกต่างจากไมโครชิปของบริษัท TSMC จึงทำให้มูลค่าหุ้นของ Nvidia พุ่งขึ้นทะลุทะลวงแซงหลายบริษัทใหญ่ขึ้นมาอยู่อันดับต้น ๆ ของตลาดหลักทรัพย์สหรัฐได้ เป็นต้น
“หากอดีตนายกฯ จะกรุณามาให้คำแนะนำแนวทางเศรษฐกิจจะทำให้เศรษฐกิจไทยพัฒนาไปอีกมาก ซึ่งนักลงทุนต่างประเทศต่างก็เห็นด้วยในความเก่งและความฉลาดของอดีตนายกฯ และจะยิ่งสร้างความมั่นใจให้เพิ่มมากขึ้น” นายพิชัย ระบุ
ทั้งนี้ยังได้ให้ความมั่นใจกับนักลงทุนต่างประเทศว่า รัฐบาลจะนำพาประเทศให้หลุดจากภาวะวิกฤติกบต้ม ที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำมาตลอด 10 ปีที่ผ่านได้ และพร้อมจะเปิดทำธุรกิจ (Open for business) โดยรัฐบาลจะทำหลายเรื่องพร้อม ๆ กันทั้งระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว
โดยแนวทางการเป็นศูนย์กลาง 8 ด้าน คือ ศูนย์กลางการท่องเที่ยว ศูนย์กลางการแพทย์และสุขภาพ ศูนย์กลางอาหาร ศูนย์กลางการบิน ศูนย์กลางโลจิสติกส์ ศูนย์กลางผลิตยานยนต์แห่งอนาคต ศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิตอล และ ศูนย์กลางทางการเงิน ตามที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ประกาศไว้แล้ว
อีกทั้งยังมีโครงการแลนด์บริดจ์ โครงการเจรจาแหล่งพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิตอล เป็นแนวทางที่จะเพิ่มรายได้ให้ประเทศไทยเป็นจำนวนหลายล้านล้านบาทต่อปี และยืนยันว่าดิจิตอลวอลเล็ตจะต้องทำแน่โดยท่านนายกฯ จะสรุปและแถลงอีกครั้ง
นอกจากนี้ยังมีคำถามจากนักลงทุนต่างประเทศ เรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงชี้ให้เห็นว่าถ้าเปรียบเทียบดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐอยู่ที่ 5.25-5.5% แต่เงินเฟ้อสหรัฐเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 3.2% ดังนั้นดอกเบี้ยที่แท้จริงอยู่ที่ 2.05-2.3% แต่ประเทศไทยดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.5% แต่เงินเฟ้อไทยติดลบ -0.77%
ดังนั้นดอกเบี้ยแท้จริงอยู่ที่ 3.27% ซึ่งสูงกว่าสหรัฐ หาก ธปท. ลดดอกเบี้ยนโยบายจะทำให้ลดค่าใช้จ่ายของประชาชน และจะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนซึ่งจะเพิ่มความสามารถแข่งขันของไทยทั้งการค้าและการลงทุน อีกทั้งในปัจจุบันไทยก็ยังมีเงินทุนสำรองเป็นจำนวนมากจึงไม่น่าห่วงกับเงินทุนไหลออกมากนัก และสหรัฐฯ เองน่าจะลดดอกเบี้ยในกลางปีนี้แน่ ถ้าไทยลดก่อนก็ได้เปรียบก่อน ซึ่งนักลงทุนต่างประเทศก็เห็นด้วย
ที่ปรึกษานายกฯ กล่าวว่า โดยสรุปแล้วได้ตอกย้ำให้นักลงทุนต่างประเทศมั่นใจในศักยภาพของประเทศไทยภายใต้การนำของนายกฯเศรษฐา และอยากให้พวกเขาสบายใจและเร่งลงทุนในประเทศไทยเพราะประเทศไทยจะพัฒนาไปไกลอย่างแน่นอน ผลตอบแทนในการลงทุนที่จะได้รับจะคุ้มค่าอย่างมาก