กรณีมีการตั้งข้อสังเกตว่า สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เลือกปฏิบัติในการยุบพรรค โดยยื่นยุบพรรคก้าวไกลอย่างรวดเร็ว หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย แต่กลับยังไม่พิจารณายุบพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ทั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญก็มีคำวินิจฉัยในคดีนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ถือหุ้นหจก.บุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น โดยไม่ชอบ และห้างหุ้นส่วนดังกล่าวได้บริจาคเงินเข้าพรรคภูมิใจไทย เงินดังกล่าวจึงอาจถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นเหตุให้ กกต. ยื่นยุบพรรคภูมิใจไทยได้นั้น
วันนี้ (24 มี.ค. 67) แหล่งข่าวจากสำนักงาน กกต. เปิดเผยว่า ทั้ง 2 พรรคการเมืองถูกร้องเรียนกันคนละประเด็น และใช้คนละมาตรา
โดยในส่วนของพรรคก้าวไกลนั้น จะใช้มาตรา 92 พ.ร.ป.ว่าด้วย พรรคการเมือง ซึ่งเหมือนกรณีพรรคไทยรักษาชาติ มีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญแล้ว โดยก่อนวินิจฉัยมีการประชุมกว่า 62 ครั้ง และชี้มาให้เห็นแล้ว ส่วนพรรคภูมิใจไทย จะใช้มาตรา 93 ต้องใช้เวลา เพราะไม่มีใครมาชี้ให้ก่อน ทางกกต.จำเป็นต้องเป็นผู้รวบรวบพยานหลักฐานเอง
อีกทั้งการร้องเรียนพรรคการเมืองทั้ง 2 พรรค ยังเป็นการร้องเรียนคนละฐานความผิด พรรคก้าวไกลถูกร้องเรียนความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง ส่วนพรรคภูมิใจไทยถูกร้องเรียนเรื่องเงินผิดกฎหมาย ซึ่งการจะถูกยุบในกรณีของพรรคภูมิใจไทยนั้นจะมีอยู่ 3 องค์ประกอบ ที่หากเข้าข้อใดข้อหนึ่งก็สามารถถูกยุบได้ คือ
1. วิธีไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เหมือนกรณีพรรคอนาคตใหม่กู้เงิน 2. คนให้ไม่มีคุณสมบัติ หรือคุณสมบัติต้องห้าม และ 3. ที่มาของเงินถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
เมื่อพิจารณาองค์ประกอบของพรรคภูมิใจไทยคือ
1. เรื่องที่มาของเงิน ซึ่งการบริจาคเงินนั้นกฎหมายไม่ได้ห้าม
2. คุณสมบัติของผู้ให้ กรณีนี้ต้องแยกกับข้อกล่าวหาเรื่องการอำพรางหุ้นออกจากกัน เพราะข้อนี้จะดูถึงการเป็นบริษัทที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งบริษัทก็จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ถือว่ามีคุณสมบัติสามารถบริจาคเงินได้
3. ที่มาของเงินถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ประเด็นนี้ กกต.ไม่ได้ มีหน้าที่ในการชี้ว่า เงินนั้นถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ คนที่มีอำนาจชี้ตรงนี้ได้ คือ ศาล, สำนักงานป.ป.ง. สำนักงาน ป.ป.ส. หากชี้มาวันไหน ทางกกต.ก็สามารถดำเนินการต่อได้ในวันนั้น
ดังนั้น ต้องมีคำพิพากษามาให้ กกต. ไม่ใช่ว่าอยู่เฉยๆ แล้วกกต.ใหญ่มาจากที่ไหนถึงให้ไปชี้ว่าเงินนั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่เช่นนั้นต่อไป หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเงิน ก็มายื่นที่กกต.ได้ทั้งนั้น
แหล่งข่าวจากกต.ยังกล่าวด้วยว่า กรณีศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าเป็นการอำพรางหุ้น แต่ไม่ได้บอกว่าเงินนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตรงนี้เป็นคนละประเด็นกัน เพราะการอำพรางหุ้นจะเข้าข่ายผิดกฎหมายอีกแบบ ตราบใดที่หน่วยงานซึ่งมีหน้าที่ไม่ได้ชี้ว่าเงินนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย เงินนั้นก็ยังถือว่าถูกกฎหมาย แต่คนอาจจะมองว่า กกต.ไปอุ้มภูมิใจไทยหรือไม่ ยืนยันว่าไม่ใช่ แต่เป็นกระบวนการตามกฎหมายแท้ๆ
"กรณีนี้พรรคภูมิใจไทยจะรอดหรือไม่รอด ไม่รู้ แต่หากมีคนไปฟ้องต่อศาล หรือหน่วยงานที่มีอำนาจ แล้วมีการชี้ว่า เงินนั้นผิดกฎหมาย กกต.ก็จะสามารถดำเนินการต่อได้ แต่กกต.ไม่ได้เป็นคนฟ้องแทน ฉะนั้นเราไม่ได้อุ้มใคร แต่เราไม่มีอำนาจให้ทำ นี่คือกฎหมาย"
แหล่งข่าวจาก กกต.แจงด้วยว่า ตอนนี้เรื่องร้องเรียนดังกล่าวยังคาอยู่ อย่างพลังประชารัฐ เงินสีเทา ซึ่งถามไปยังป.ป.ง. เขาไม่ชี้มาก็ทำไม่ได้ เหมือนกับกรณีนี้ ต้องมีการพิสูจน์ว่า เงินที่เอามาบริจาคนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเขาอาจบอกว่าเงินประมูล หรือเอาเงินก้อนไหนมาบริจาค
ส่วนที่ว่าเงินบริจาคซึ่งก็เป็นของบริษัทที่เป็นนอมินีของ นายศักดิ์สยาม เป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่มองเช่นนั้น แต่หากบริษัทนั้นทำหลายอย่าง เงินนั้นอาจจะได้มาก่อน หรือมาหลังก็ได้
ดังนั้นต้องให้หน่วยงานที่มีอำนาจชี้มาก่อน เพราะหากผู้ถูกร้องมาชี้แจงก็ย่อมชี้แจงว่าเงินนั้นชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว ดังนั้นเงินไม่ชอบด้วยกฎหมายต้องให้กฎหมายเป็นคนพูด เราคิดเองไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ตอนนี้อยู่ในชั้นอนุกรรมการ และอยู่มานานปีกว่าแล้ว เพราะกกต.รอเงื่อนไขที่ 3 นี้ ซึ่งไม่ได้อยู่ในอำนาจของกกต. ส่วนเงื่อนไขที่ 1, 2 นั้นถูกแล้ว