"จุรินทร์" อัดรัฐบาลจัดงบปี 68 เป็น"งบเป็ดขี้เหร่" รายได้น้อย รายจ่ายสูง

19 มิ.ย. 2567 | 06:18 น.
อัปเดตล่าสุด :19 มิ.ย. 2567 | 06:30 น.

"จุรินทร์" อัดรัฐบาลจัดงบปี 68 เป็น"งบเป็ดขี้เหร่" รายได้น้อย รายจ่ายสูง พร้อม ให้ฉายานายก "นักกู้ผ้าขาวม้าพันคอ" กู้จนจะทะลุเพดาน ส่งผลหนี้สาธารณะเพิ่มสูงตลอดอายุรัฐบาล

จากกรณีที่ในวันนี้ 19 มิถุนายน 2567 มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ประชุมในวาระการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568  นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ว่า เพื่อให้งบประมาณก้อนนี้เกิดความคุ้มค่ามีประสิทธิภาพโปร่งใส และเป็นไปตามกฎหมาย ต้นอาจจะมีการอภิปรายตัวเลขมากหน่อยแต่ทั้งหมดก็เป็นการสะท้อนความน่าเป็นห่วง ต่อสภาพการณ์ทางการเมืองเศรษฐกิจ ในการบริหารงานปัจจุบันโดยอาศัยตัวเลขงบประมาณปี 68 เป็นตัวตั้ง

 

 

ตอนอภิปรายงบปี 67 เคยให้ความเห็นว่า งบฉบับนั้นเหมือนกับงบเป็ดง่อย เพราะรัฐบาลใช้เวลาในการรื้องบที่รัฐบาลชุดที่แล้วทำไว้ให้ ทำให้ การใช้เงินล่าช้าไปเกือบ 7 เดือน บวกกับประสิทธิภาพการใช้งบประมาณ ของรัฐบาลชุดนี้ทำให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเฉพาะงบลงทุน 8 เดือนแค่ 51% ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศโตต่ำกว่าเป้า จาก 5.4% แต่ปีนี้โอกาสเศรษฐกิจจะโตเพียงแค่ 2.5% และได้ 2.5% ที่ว่านี้แม้จะรวมโครงการดิจิตอลวอตเต็ล แล้ว ก็จะทำให้เศรษฐกิจโตได้เพียง 0.25 % เต็มที่ เศรษฐกิจก็จะโตเพียงแค่ 2.75%

ส่วนงบปี 68 ฉบับนี้เป็นฉบับที่2 ของรัฐบาลชุดนี้และถือว่า "อิเหนาทำเอง 100%" ไม่ได้มีฐานรากมาจากรัฐบาลชุดที่แล้วแต่อย่างใด แต่ที่น่าสังเกตคือใส่ดิจิตอลวอลเล็ต มาด้วยในงบกลาง 152,700ล้านบาท แล้วมาดูภาพรวมงบประมาณทั้งขี้หก ทั้งขี้เหร่ เพราะนายกรัฐมนตรีเคยแถลง ว่าจะทำให้ได้4 เพิ่ม 1 ลด เช่น เพิ่มรายได้ให้ประเทศ ลดการขาดดุลงบประมาณลงมาเป็นต้น แต่เมื่อดูรายละเอียดในงบประมาณ กลายเป็นละครคนละซีรีส์เหมือนเห็น"สภาเป็นศาลาโกหก" และรายละเอียดก็ไม่ได้งดงามอย่างที่นายกได้อภิปรายต่อสภาฯ เพราะพบความขี้เหร่

 

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ 

ซุกซ่อนอยู่มากมาย ขอหยิบยกขึ้นมาใน 5 ประเด็น คือ

1. ขี้เหร่เรื่องรายได้ ถ้ารายได้น้อย รายได้ลด รายจ่ายสูง งบก็ขาดดุลสุดท้ายก็ต้องไปกู้มาเพื่อชดเชยการขาดดุล รายได้น้อยรายจ่ายมากก็จะทำประเทศเป็นหนี้มาก ซึ่งสัดส่วนรายได้สุทธิเมื่อปี 2567 คิดเป็น 80.1% ของงบประมาณทั้งหมด แต่งบปี 68 จากไป 80.1 % เหลือแค่ 76.9% ของวงเงินงบประมาณ นี่คือ ตัวฟ้องว่าไม่ตรงกับที่นายกสัญญากับสภาไว้ และตลอดปี 2567 ยังเก็บรายได้ไม่เป็นไปตามเป้า 39,000 ล้านบาท

2. ขี้เหร่จากการขาดดุลงบประมาณ นายกให้สัญญาว่า จะลดการขาดดุลงบประมาณลงมาในปี 68 แต่ปรากฏว่านอกจากจะไม่เท่าเดิม ไม่ลด และยังเพิ่มการขาดดุลมหาศาล เพราะงบปี 68 ขาดดุลมากกว่าปี 67 มากถึง 865,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.9% แม้จะอ้างว่า ขาดทุนเพราะเอาไปทำดิจิตอลวอลเล็ต จำนวนขาดดุลก็ยังมากกว่าปีที่แล้วอยู่ดี และที่ขี้เหร่ที่สุดคืองบขาดดุลในปีนี้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ขาดดุลมากถึง 4.42%  ของGDPของประเทศ เกือบชนเพดานวินัยการเงินการคลัง และภายใต้ รัฐบาลนี้ถ้าอยู่ครบ 4 ปียังคิดจัดงบประมาณขาดดุลต่อไปอีกตลอดอายุรัฐบาลนี้ ที่จะส่งผลให้หนี้สาธารณะ ที่เพิ่มขึ้นตลอด 4 ปี ที่อยู่ในอายุของรัฐบาล และจะเพิ่มขึ้นทุกปี

3. ขี้เหร่เรื่องการกู้เงิน งบปี 67 งบปี 68 รัฐบาลชุดนี้ต้องกู้มาชดเชยการขาดดุลรวม 1.5 ล้านล้านบาท นี่ยังไม่รวมกู้มาแจก สุดท้ายรัฐบาลนี้ 2 ปีจะก่อหนี้ 1.9 ล้านบาทรวมบริหาร 2 ปีคู่เกือบ 2 ล้านล้าน ปีที่แล้วได้ให้ฉายานายกว่า "นักกู้ถุงเท้าสีชมพู"  ปีนี้เห็นทีจะต้องให้เป็น"นักกู้ผ้าขาวม้าพันคอ" เพราะยังพูดหนักเหมือนเดิมและคู่หนักกว่าเดิมแต่เวลาใช้หนี้ ไม่ถึง 10% ของหนี้ที่ก่อ

4. ขี้เหร่จากกาตั้งตัวเลข GDP สูงเกินจริง เพราะงบปี 67จากที่เคยตั้งไว้ว่าจะได้ GDP 5.4% เหลือเพียง

4.1% ซึ่งน่าจะเป็นการประมาณการเกินจริง และเมื่อเอา 4.1 % มาคำนวณ ในปี 68 แล้วบอกว่าจะโตเพิ่มเป็น 4.9% จึงกลายเป็น "GDP ฟองสบู่" แต่สถาบันต่างๆรวมถึงสภาพัฒน์ ที่เป็นหน่วยงานของรัฐ ประเมินว่าจะโตในปี 68 ได้แค่ 3%

5. ขี้เหร่ในเรื่องดิจิตอลวอลเล็ต จากนโยบายเรือธง ตอนนี้กลายเป็นนโยบายเรือเกลือแล้ว สัญญาจะทำทันทีนี่เวลาล่วงเลยมาแล้วเท่าไหร่ ตนทวงถามแทนประชาชนทุกครั้ง เพราะเมื่อพรรคการเมืองสัญญาไว้กับประชาชนแล้ว ต้องมีความรับผิดชอบ ล่าสุดรัฐบาลแถลง เรื่อง Digital wallet 3 ข้อคือแตกแน่ในไตรมาส 4 ปีนี้คือ 1 ตุลาคม 67 เป็นต้นไป และจะไม่แบ่งก้อนแจกแจกรวดเดียว 5 แสนล้านบาท แปลว่าถ้าไม่ได้เงินครบ 500,000 ล้านจะไม่แจกใช่หรือไม่ แล้วเงิน 500,000 ล้าน จะเอามาจาก 3 แหล่ง คือ 1. จากงบ 68 ที่มาขอในวันนี้157,000ล้านบาท  2. จากงบปี 67 ที่สภาอนุมัติไปแล้ว 175,000 ล้านบาท 3.จาก ธนาคารการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร 172,300 ล้านบาท คำถามคือแปลว่าจนวันนี้รัฐบาลยังไม่มีเงินสักบาทเดียวใช่หรือไม่

 

"การใช้งบประมาณปี 67 ที่รัฐบาลขอเพิ่มเติมเข้ามาแค่ 122,000 ล้าน ยังขาดอยู่อีก 53,000 ล้านบาท สุดท้ายคงจะไปเอาจากงบฉุกเฉินจากปี 67 ที่ตั้งไว้ 99,500 ล้านบาท และพบพิรุธการเบิกจ่ายงบฉุกเฉินปีนี้ต่ำมาก มีการเบิกจริงแค่หลักพันล้าน แสดงว่าเป็นความตั้งใจหรือไม่ยอมไม่ใช้งบปี 67 ให้เหลือเงินฉุกเฉินเยอะๆ แล้วเอาไปแปลงเป็นดิจิตอลวอลเล็ต บรรลุเป้าหมายของพรรคการเมืองได้แต่ถ้าทำแบบนี้จริงรัฐบาลใจดำมาก เพราะพยายามไม่ใช้เงินปี 67 และ จะส่งผลให้ GDP ปี 67 โตต่ำเตี้ยหนักเข้าไปอีก เพียงเพื่อให้เหลือเงินไปสนองพรรคการเมืองนี่เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องตระหนัก และถ้ารัฐบาลทำแบบนี้จริงสิ่งที่ตนพูดไว้ก็ไม่ผิด สุดท้ายกู้มาแจก 500,000 ล้านบาทต้องออกกฎหมายงบ 67 1 ฉบับงบ 68 อีก 1 ฉบับงบเพิ่มเติม 67 อีก1 ฉบับ และงบเปลี่ยนแปลงงบประมาณ 67 อีก 1 ฉบับ 4 ฉบับ ยังไม่รวมธกส. แล้วจะไม่กลายเป็นเรือเกลือได้อย่างไร"  นายจุรินทร์กล่าว

ส่วนเงินของธนาคารเพื่อเกษตรเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. จะเอามาแจกไม่ได้เพราะผิดกฎหมาย เงินธกส.มีไว้เพื่อดูแลเกษตรกรเท่านั้น จะเอาไปให้รัฐบาลไปกู้มาแจกเหวี่ยงแหแบบเฮลิคอปเตอร์ มันนี่ ทำไม่ได้ จนถึงวันนี้รัฐบาลยังไม่พิสูจน์ความจริงเลยว่าทำได้หรือไม่เพราะยังไม่ถามกฤษฎีกา แต่เอางบ 68 มาขอก่อนเหมือนเอาหน้ามาทำหลังเอาหลังมาทำหน้าเหมือนตั้งใจที่จะมารักไก่กับสภาต่อหน้าประชาชน ทั้งที่ยังไม่ถามกฤษฎีกาเรื่องธกส. แล้วถ้าสภาอนุมัติไปวันนี้ วันหลังไปถามกฤษฎีกากฤษฎีกาบอกใช้ไม่ได้แล้วเงินวันนี้จะทำอย่างไร สุดท้ายก็กู้มาแจกไม่ได้

"วันนี้ ดิจิตอลวอลเล็ต อนาคตยังเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย ที่รัฐบาลบอกแจกแน่ 1 ตุลาคม 67 เป็นต้นไป ดังนั้นงบ 68 เหมือน"งบเป็ดขี้เหร่" เพราะทั้งหลอกสภา ทั้งทำสัดส่วนรายได้สุทธิน้อยกว่าเดิม ทั้งทำงบขาดดุลมาก สุดประวัติศาสตร์ทั้งจะกู้มากขึ้นตลอดอายุรัฐบาล ทั้งวาดฝัน GDP ฟองสบู่ ทั้งลักไก่งบกู้มาแจก ขอเงินเป็นแสนล้านทั้งที่ไม่ถามกฤษฎีกาสักคำว่าสามารถทำได้หรือไม่ ที่สำคัญ รัฐบาล 2 ปีจะใช้เงินงบประมาณ 67 จำนวน3.48ล้านล้าน กำลังขอ 3.75 ล้านล้าน รวมแล้วเกือบประมาณ 6-7 ล้านล้าน แต่ผลงานมันไม่ประทับใจจอร์จเลยครับ ผลสัมฤทธิ์ที่ออกมาสวนทางกับตัวเลขงบประมาณที่ขอไป ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม" นายจุรินทร์ กล่าว.