วันนี้ (20มิ.ย.67) เวลา 11.00 น. นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เปิดแถลงข่าว ความคืบหน้าผลสอบของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีปรากฎเป็นข่าวต่อสาธารณะเกี่ยวกับความขัดแย้งในเรื่องคดีของบุคลากรภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล
นายวิษณุ กล่าวว่า ได้รับมอบหมายให้มาชี้แจงผลการสอบสวนที่คณะกรรมการเสนอเรื่องให้นายกรัฐมนตรีทราบ และเห็นว่าควรชี้แจงต่อสาธารณะ โดยสรุปได้ความว่า ผลสรุปตรวจสอบไมได้ชี้ว่าใครถูกใครผิด แต่รายงานนายกฯว่า พบเห็นความยุ่งยากสับสนระหว่างอำนาจสอบสวนของหลายหน่วยงาน จึงเสนอแนะให้ ยธ. และกฤษฎีกาว่าในแต่ละเรื่องอยู่ในอำนาจของหน่วยงานใด เพื่อเป็นคู่มือให้หน่วยงานเก้บไว้
“นายกฯรับทราบแล้ว และมอบหมายให้ผมชี้แจงและให้หน่วยงานดำนินการต่อไป อาทิ การออกคำสั่งคำสำนักนายกฯ ส่ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล กลับไปดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ต่อไป เพราะไม่มีอะไรสอบสวนอีกแล้ว ให้กลับไปดำรงตำแหน่งผบ.ตร.ตามเดิม ส่วนคดีความก็ดำเนินไปตามสายงานของแต่ละหน่วยงานต่อไป"
ขณะที่ "บิ๊กโจ๊ก" หรือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล นายวิษณุ อธิบายว่า เมื่อพล.ต.อ.สุรเชษฐ ได้รับคำสั่งให้กลับไปรับราชการตั้งแต่ 18 เม.ย. 67 หลังจากคำสั่งให้มาช่วยราชการที่สำนักนายกฯ เมื่อ 20 มี.ค. 67 โดยตั้งกรรมการสอบสวนวินัย และคำสั่งให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อน ซึ่งต้องขีดเส้นใต้ไว้ เพื่ออธิบายต่อไป
"เพราะสตช.ออกคำสั่งให้พล.ต.อ.สุรเชษฐให้ออกจากราชการไว้ก่อน เป็นการสั่งตามที่เคยสั่งกันมาในอดีต แต่ในกรณีที่ให้ออกจากราชการไว้ก่อน หากกระทบต่อสิทธิประโยชน์ ต้องกระทำโดยคำแนะนำจากกรรมการสอบสวน"
นายวิษณุ อธิบายต่อว่า เมื่อวันที่ 18 เม.ย. กรรมการสอบมี 3 คำสั่ง คือ 1.ให้กลับ สตช. 2.ตั้งกรรมการสอบวินัย และ 3. สตช.ให้ออกจากราชการไว้ก่อนทันที นัั่นจึงเป็นปัญหา
จากนั้นมีการส่งให้กฤษฎีกา และมีมติ 10 ต่อ 0 ระบุว่า การให้ออกราชการไว้ก่อน ที่กระทบต่อสิทธิหน้าที่ ไม่ถูกต้องไม่ชอบธรรม ดังนั้นสถานภาพของพล.ต.อ.สุรเชษฐ จึงอยู่ระหว่างการนำความกราบบังคมทูลฯให้ออกจากราชการไว้ก่อน ซึ่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะต้องตรวจสอบว่าทำถูกต้องระเบียบหรือไม่
นายวิษณุ ย้อนอธิบายที่ของเรื่องนี้ว่า นายกรัฐมนตรี ตั้งกรรมการสอบทั้งข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย เพื่อประมวลความเป็นมาและแก้ไข โดยกรรมการมี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ เป็นประธาน ร่วมกรรมการอีก 2 คน คณะกรรมการตั้งอนุกรรมการมาอีกหลายชุด สอบพยาน 50 กว่าคน ในจำนวนนี้ได้ให้การสนับสนุนทั้งพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ และพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ใช้เวลา 4 เดือน
ซึ่งผลการตรวจสอบพบมีความขัดแย้ง และความไม่เรียบร้อยเกิดขึ้นจริง มีความขัดแย้งในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับสูง กลาง เล็ก ทุกฝ่าย ไม่ว่าเป็นเหตุบังเอิญหรืออะไรก็แล้วแต่ กลายเป็นคดีความ เรื่องร้องเรียนในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เรื่องราวที่เกิดขึ้นจะเกี่ยวพันกับบุคคบล 2 คน คือพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ทีมงานก็พลอยเกิดความขัดแย้งไปด้วย คดีที่เกี่ยวพันกับบุคคลเหล่านี้ ก็คือคดี 140 ล้าน หรือคดีเป้รักผู้การฯ เท่าไหร่ คดีกำนันนก คดีมินนี่ คดีพนันออนไลน์บีเอ็นเค มีคดีย่อยอีก 10 กว่าคดีตามสน.ต่างๆ และศาลในคดีอาญาทุจริต ภาค 7 และส่วนกลาง ความขัดแย้งบางเรื่องเพิ่งเกิด บางเรื่อง 10 ปีมาแล้ว จนเกิดเป็นคดีเหล่านี้ขึ้นมา
3.เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องส่งเรื่องให้หน่วยงานเกี่ยวข้องรับผิดชอบ บางเรื่องส่งให้หน่วยงานยุติธรรม ตำรวจ อัยการ ศาล
บางเรื่องเกี่ยวกับองค์กรอิสระ ป.ป.ช. รับไปดำเนินการแล้ว คดีทั้งหมดมีเจ้าของรับดำเนินการแล้ว ไม่มีคดีตกค้างที่ตร. แต่อาจมีตกค้างที่สน. มีดีเอสไอ ป.ป.ช. ที่จะต้องดำเนินการตามอำนาจต่อไป