ภายหลัง ศาลรัฐธรรมนญ มีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 วินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5 ) ส่งผลให้ นายเศรษฐา ทวีสิน พ้นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 และ ครม.พ้นไปทั้งคณะ กรณีการนำความกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ต่อมาในเวลา 15.50 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้แถลงเปิดใจถึงการพ้นจากตำแหน่งนายกฯ ต่อสื่อมวลชน โดยใช้เวลานานกว่า 20 นาทีว่า หลังจากรับทราบคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ก็ขอขอบคุณตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และทุกๆ ฝ่ายที่ให้โอกาสได้ชี้แจงในประเด็นทั้งหลาย มีการหยิบยกมาพูดคุยในวงกว้าง ซึ่งเคารพในการตัดสินใจในคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ยืนยันว่า ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็พยายามทำทุกอย่างให้ถูกต้อง มีความตั้งใจจริงในการทำงาน ยึดมั่นอุดมการณ์ในการทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต รับฟังความคิดเห็นของทุก ๆ ฝ่าย และยืนยันว่าไม่ได้ทำตัวเป็นที่ขัดแย้งของทุก ๆ คน
นายเศรษฐา กล่าวว่า เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ประเมินว่า ผลออกมาได้ทั้งซ้ายและขวาทั้งสองอัน แต่ว่าเรามีหน้าที่ก็ทำต่อไป ไม่ได้บ่งบอกว่าไปก้าวล่วงถึงผลตัดสินว่าออกมาอย่างไร พร้อมยอมรับว่า รู้สึกเสียใจตรงที่ว่าจะถูกบอกต่อไปว่า เป็นนายกฯ ที่ไม่มีจริยธรรม ซึ่งยืนยันตัวตนของตัวเองว่าไม่ใช่แบบนั้น แต่เมื่อศาลมีคำตัดสินออกมาแล้ว ก็น้อมรับคำตัดสิน
ส่วนภารกิจที่ยังค้างอยู่นั้น ยอมรับว่า ตอนนี้ยังมีปัญหาของประชาชนอีกหลายเรื่อง แต่เชื่อว่า บ้านเมืองเรายังมีคนเก่งอีกหลายคนที่เข้ามาและทำงานต่อไปได้ และคงไม่ต้องฝากงานอะไร เพราะทีมงาน ก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม และยังมีรัฐมนตรีรักษาการอยู่ด้วย
ขณะที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ซึ่งเป็นรักษาการนายกฯ คนที่หนึ่ง ก็กำลังเดินทางกลับจากคาซัคสถาน แต่ถ้าไม่ทันก็มีรองนายกฯ รักษาการคนที่สอง คือ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และรมว.คมนาคม ซึ่งอยู่มาหลายรัฐบาล ถือว่ามีประสบการณ์ในการบริหารราชการแผ่นดินดีอยู่แล้ว และก็มีความมั่นใจในทีมงาน
ทั้งนี้ในส่วนของกระบวนการสรรหานายกฯ คนใหม่ เห็นว่า ก็ต้องเป็นไปตามกระบวนการของรัฐสภา ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย ผู้สื่อข่าวยังถามด้วยว่า นายกฯ เข็ดหรือไม่เข็ดเรื่องการเมือง โดยตอบคำถามนี้ว่า ไม่ใช่ว่า เข็ดหรือไม่เข็ด แต่จริง ๆ ปัญหาบ้านเมืองมีอีกมาก และตัวเองก็ทำหน้าที่ช่วยเหลือบ้านเมืองได้อีกหลายหน้าที่
เมื่อถามว่าเป็นบทเรียนราคาแพงหรือไม่ ยอมรับว่า ตอบยาก เพราะบทเรียนราคาแพงนั้นมีทั้งบวกและลบ แต่ไม่อยากมองในแง่ลบ เพราะเมื่อคำตัดสินของศาลออกมาแล้ว ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง หรือหวังไว้ การจะบอกว่า เป็นบทเรียนราคาแพง หรือบอกว่ามีใครวางยา ส่วนตัวเห็นว่าอย่าไปกล่าวล่วงตรงนั้นดีกว่า โดยขอน้อมรับคำตัดสินของศาล และเดินไปข้างหน้าต่อไปดีกว่า
พร้อมทั้งให้กระบวนการทางด้านนิติบัญญัติ และรัฐสภาเดินหน้าการสรรหานายกฯ คนต่อไป หรือแปลงคำพิพากษาว่าเป็นอย่างไร ส่วนแคนดิเดตนายกฯ ยังเป็นของพรรคเพื่อไทยหรือไม่นั้น ยืนยันว่าไม่ทราบ และฝ่ายกฎหมายของพรรคคงดูต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า นายกฯ คนต่อไปควรมาจากพรรคเพื่อไทยหรือไม่ โดยยอมรับว่า ไม่ขอบอก เพราะตอนนี้ไม่ได้เป็นสส. แต่ยังเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ก็ต้องปล่อยให้พรรคพูดคุยกัน และไม่อยากกดดันใครทั้งสิ้น โดยเฉพาะว่าที่นายกฯ คนต่อไปว่าจะเป็นใคร และต้องมาจากพรรคไหน ถือเป็นการให้เกียรติซึ่งกันและกันมากกว่า ซึ่งทุกคนที่อยู่ในรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ คิดว่ามีความพร้อม เพราะทุกคนมีจุดแข็งไม่เหมือนกัน และมีวิธีการทำงานไม่เหมือนกัน โดยขออำนวยพรให้กับคนที่จะมาทำงานตรงนี้
"ขอยืนยันว่าน้อมรับคำตัดสิน และยืนยันว่าตลอดระยะเวลาที่ทำงานมาในตำแหน่งหน้าที่นี้ ผมได้ทำอย่างเต็มที่ และทำอย่างบริสุทธิ์ ไม่ได้มีปัญหากับใครเป็นการส่วนตัว ไม่ได้มีความขัดแย้งกับใครเป็นการส่วนตัวเลย" นายเศรษฐา ระบุ
อย่างไรก็ตามนโยบายของรัฐบาลจะทำต่อหรือไม่นั้น ยอมรับว่า ณ ขณะนี้ยังตอบไม่ได้ เพราะยังไม่ทราบว่าใครจะมาเป็นนายกฯ และพรรคร่วมจะเป็นอย่างไร ต้องให้เกียรติกับรักษาการนายกฯ และนายกฯ คนต่อไปด้วย ส่วนนโยบายเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10000 บาท ยังเดินหน้าต่อหรือไม่นั้น ระบุว่า ต่อไปไม่ว่าจะเป็นพรรคร่วมหรือพรรคเพื่อไทย ก็มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนแปลงนโยบายได้ตามที่เห็นสมควร ซึ่งทุกคนอยากเห็นประเทศไทยเดินหน้าต่อไปข้างหน้า และประชาชนอยู่ดีกินดี แต่วิธีที่ถึงจุดนั้นยังมีหลายวิธีที่ทำได้
"บางคนอาจจะเห็นด้วยกับดิจิทัลวอลเล็ต บางคนอาจไม่เห็นด้วย อาจเป็นอื่น ๆ ก็แล้วแต่ ก็ต้องยอมรับว่า เราหมดหน้าที่ไปแล้วเมื่อตอนบ่าย 3 โมงครึ่งวันนี้ และตอนนี้ไม่มีอำนาจแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของนายกฯ คนใหม่" นายเศรษฐา ยืนยัน
นายเศรษฐา ยอมรับว่า การที่คนเรามีอายุขนาดนี้ ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้แก้ไขปัญหาพี่น้องประชาชน ได้ลงพื้นที่ไป ได้รับความรู้ ได้รับข้อมูลใหม่ ๆ มา และเมื่อถามจริง ๆ ว่า เมื่อก้าวออกไปแล้ว ที่จะมีความผิดหวังหรือขาดไป คือ การไม่มีโอกาส
นั่นเพราะการเป็นเอกชน หรือการเป็นนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ การเข้าถึงข้อมูล แหล่งความรู้ หรือปัญหา หรือทางออกของหลาย ๆ อย่าง ถ้าไม่นั่งตรงนี้มันมองไม่เห็น ถ้าเห็นก็เป็นความหวังของประเทศ แต่เราก็ต้องไว้ใจระบบรัฐสภาในการสรรหานายกฯ คนใหม่มาว่ามีความรู้ความสามารถ เพื่อนำพาประเทศไปสู่ความเจริญได้ ผมไม่มีอะไรจะพูดนอกจากความปรารถนาดีต่อนายกฯ คนต่อไป
ส่วนปัญหาด้านเศรษฐกิจ ยังคงมีความเป็นห่วงมากแค่ไหนนั้น ยอมรับว่า ก็เป็นห่วงทุกเรื่อง และเข้าใจถึงความซับซ้อนที่มีอยู่ในการบริหารจัดการของประเทศ รวมทั้งปัญหายาเสพติด ภัยไซเบอร์ และราคาพืชผลทางการเกษตร แต่ก็ยอมรับว่าตอนนี้มันจบสิ้นไปแล้ว เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินแล้ว
อย่างไรก็ตามภายหลังจากนายกฯ แถลงเปิดใจเสร็จสิ้น ก็ได้เดินไปขึ้นรถยนต์ส่วนตัวยี่ห้อ Lexus ทะเบียน ศฐ 30 กรุงเทพมหานคร ที่จอดรอบริเวณทางลงตึกไทยคู่ฟ้า พร้อมทั้งโบกมือให้กับผู้สื่อข่าว โดยมีรัฐมนตรี ข้าราชการ และทีมงานรอส่งนายกฯ ขึ้นรถและขับออกไปจากทำเนียบรัฐบาลในช่วงเวลาประมาณ 16.15 น.
ภาพจาก : ศูนย์ภาพข่าวเนชั่น