เปิดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ มติ 5 ต่อ 4 ฟัน "เศรษฐา-ครม." พ้นทั้งคณะ

14 ส.ค. 2567 | 10:00 น.
อัปเดตล่าสุด :14 ส.ค. 2567 | 11:08 น.

เปิดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 5 ต่อ 4 ฟัน “เศรษฐา ทวีสิน” พ้นนายกฯ คนที่ 30 เหตุไม่ซื่อสัตย์สุจริต ผิดจริยธรรมร้ายแรง ปมตั้ง "พิชิต ชื่นบาน" เป็นรมต. สะเทือน “ครม.” พ้นทั้งคณะ

วันนี้(14 ส.ค. 67) ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 วินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4)ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5 ) 

จากกรณีถูกกล่าวหากระทำการเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง เนื่องจากนำความกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน ซึ่งเคยถูกศาลฎีกามีคำสั่งจำคุกเป็นเวลา 6 เดือน ในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ในคดีสินบนถุงขนม 2 ล้าน เมื่อปี 2551 ให้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 

โดยศาลฯให้เหตุผลว่า พิจารณาเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญตามคำปรารภที่ว่า รัฐธรรมนูญนี้วางกลไกป้องกัน ตรวจสอบ และขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบที่เข้มงวด เด็ดขาด เพื่อมิให้ผู้บริหารที่ปราศจากคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาลเข้ามามีอำนาจในการปกครองบ้านเมืองหรือใช้อำนาจตามอำเภอใจ 

จึงบัญญัติคุณสมบัติและ ลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีไว้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 เป็นคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามเพิ่มเติมจากลักษณะต้องห้าม ของบุคคลที่จะใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98

นายเศรษฐา ผู้ถูกร้องที่ 1 กล่าวอ้างว่า ตนมีภูมิหลังจากการประกอบธุรกิจ มีประสบการณ์ทางการเมืองที่จำกัด ไม่มีความรู้ทางด้านนิติศาสตร์ หรือ รัฐศาสตร์ จึงไม่อาจวินิจฉัยว่า นายพิชิต ผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นบุคคลที่ขาดคุณสมบัติ หรือ มีลักษณะต้องห้ามเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ เป็นข้ออ้างที่รับฟังไม่ได้ เพราะนายกรัฐมนตรี เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในฝ่ายบริหาร ทุกการตัดสินใจมีผลกระทบต่อบ้านเมือง จึงต้องมีความรับผิดชอบในทุกการกระทำ 

ประกอบกับหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเกี่ยวกับความซื่อสัตย์สุจริตและความน่าเชื่อถือหรือไว้วางใจต่อสาธารณชนนั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ประจักษ์ชัดในลักษณะภาวะวิสัย
ข้อเท็จจริงปรากฏ ในคำสั่งศาลฎีกาที่ 4599/2551 ที่วินิจฉัยว่า เสมียนทนายความที่ทำงาน ประสานงานให้ นายพิชิต นำถุงกระดาษใส่เงินสดมอบให้เจ้าหน้าที่ของศาลฎีกา โดยที่รู้ หรือ ควรรู้ว่าภายในถุงกระดาษดังกล่าวมีเงินสดอยู่ และ นายพิชิต มีพฤติการณ์ที่เชื่อได้ว่า มีส่วนรู้เห็นในการกระทำดังกล่าว ด้วยในลักษณะเป็นตัวการร่วม 

                          เปิดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ มติ 5 ต่อ 4 ฟัน \"เศรษฐา-ครม.\" พ้นทั้งคณะ

โดยมีเจตนาจูงใจให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ที่อาจเชื่อมโยงไปเป็นประโยชน์แก่จำเลยในคดีหมายเลขดำที่ อม. 1/2550 ซึ่งเป็น ลูกความของ นายพิชิต การกระทำดังกล่าวเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 33 (1) และมาตรา 133 ประกอบประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 83 

และน่าจะมีมูลความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา144 หรือความผิดอื่นต่อเจ้าพนักงาน สั่งลงโทษนายพิชิต ฐานละเมิดอำนาจศาล ล้วนเป็นข้อเท็จจริง ที่สาธารณชนต่างรู้กันโดยทั่วไป 

และสภาทนายความ เห็นว่า การที่นายพิชิต ถูกลงโทษในคดีละเมิดอำนาจ ศาลตามคำสั่งศาลฎีกาข้างต้น เป็นการกระทำที่ไม่เคารพยำเกรงอำนาจศาล ทำให้เสื่อมเสียอำนาจศาล หรือผู้พิพากษา และกระทบต่อความเชื่อมั่นของกระบวนการยุติธรรมไทย เป็นการกระทำผิดตามข้อบังคับ สภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ. 2529 ข้อ 6 และข้อ 18 ให้ลบชื่อ นายพิชิต กับผู้ถูกกล่าวหาที่เกี่ยวข้องออกจากทะเบียนทนายความ

นายเศรษฐา รู้ข้อเท็จจริงดังกล่าวโดยตลอดแล้ว แต่ยังคงเสนอให้แต่งตั้ง นายพิชิต เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตามพระบรมราชโองการประกาศแต่งตั้งรัฐมนตรี ฉบับลงวันที่ 27 เมษายน 2567 นายเศรษฐา จึงไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4)

“การที่นายเศรษฐา รู้หรือควรรู้ถึงข้อเท็จจริงต่าง ๆ เกี่ยวกับพฤติการณ์ต่าง ๆ ของนายพิชิต ดังกล่าวโดยตลอดแล้ว แต่ยังเสนอแต่งตั้งให้ นายพิชิต เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แสดงให้เห็นว่า นายเศรษฐา ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา160 (4) ย่อมเป็นกระทำการฝ่าฝืน หรือ ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 หมวด 1 ข้อ 8 ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งข้อ 27 วรรคหนึ่ง กำหนดให้การฝ่าฝืนหรือไม่ ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมในหมวด 1 ให้ถือว่ามีลักษณะร้ายแรง อันเป็นลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (5) ด้วย"

ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติโดยเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 วินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ นายเศรษฐา นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์ สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160(4) และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (5) 

เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของ “นายกรัฐมนตรี” สิ้นสุดลง ตามมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) แล้ว “รัฐมนตรี” ต้องพ้นตำแหน่ง ทั้งคณะตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 167 วรรคหนึ่ง (1) โดยให้นำมาตรา 168 วรรคหนึ่ง (1) มาใช้บังคับกับการ ปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งต่อไป

สำหรับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก จำนวน 5 คน คือ

นายปัญญา อุดชาชน

นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม

นายวิรุฬห์ แสงเทียน

นายจิรนิติ หะวานนท์

และ นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์

เห็นว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170วรรคหนึ่ง (4) ประกอบ มาตรา 160 (4) และ (5) 

ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จำนวน 4 คน คือ

นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์

นายนภดล เทพพิทักษ์

นายอุดม รัฐอมฤต

และ นายสุเมธ รอยกุลเจริญ

เห็นว่า ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องที่ 1 นายกรัฐมนตรี ไม่สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5)