วันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๗ เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ข้าราชการตํารวจพ้นจากตําแหน่ง ระบุว่า
ด้วยสํานักงานตํารวจแห่งชาติได้มีคําสั่งให้ พลตำรวจเอก สุรเชชษฐ์ หักพาล ข้าราชการตํารวจ ตําแหน่ง รองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ออกจากราชการไว้ก่อน ตั้งแต่วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๗ เนื่องจากถูกกล่าวหาว่ากระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรง จนถูกตั้งกรรมการสอบสวน
และขอให้นําความ กราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พ้นจากตําแหน่ง ตามมาตรา ๑๔๐ และมาตรา ๑๗๙ แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๕ ประกอบข้อ ๑๑ ของกฎ ก.ตร. ว่าด้วยการ สั่งพักราชการและการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ. ๒๕๔๗
และสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้นําความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พ้นจากตําแหน่งแล้ว
บัดนี้ ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้บุคคลดังกล่าวพ้นจากตําแหน่ง รองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๗
ประกาศ ณ วันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๗
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ภูมิธรรม เวชยชัย
รองนายกรัฐมนตรี
ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2567 นายธวัชชัย ไทยเขียว หนึ่งในคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) และรองโฆษก ก.พ.ค.ตร. ออกมาเปิดเผยถึงผลการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ร้องทุกข์ของ บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ที่ถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อน ซึ่งมีการพิจารณาลงมติว่าการลงนามคำสั่งดังกล่าวที่ลงนามโดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้
ก.พ.ค.ตร.ได้ประชุมพิจารณาวินิจฉัยคดีที่เป็นที่สนใจและมีคำวินิจฉัยเรื่องอุทธรณ์ของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล โดยได้ส่งคำวินิจฉัยไปให้ผู้อุทธรณ์และคู่กรณีในอุทธรณ์ทราบ ซึ่งปรากฏหลักฐานว่า คู่กรณีทั้งสองฝ่ายได้รับคำวินิจฉัยแล้ว
พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ได้อุทธรณ์ว่าคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 178/2567 ลงวันที่ 18 เมษายน พ.ศ.2567 ที่สั่งให้ผู้อุทธรณ์ออกจากราชการไว้ก่อน เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ พิจารณาและวินิจฉัยให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว และมีคำขออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ก.พ.ค.ตร.ได้พิจารณาวินิจฉัยตามอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติ และตามกฎ ก.พ.ค.ตร.ว่าด้วยอุทธรณ์และการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ พ.ศ.2567 ซึ่งกำหนดให้ใช้วิธีการไต่สวนและได้ดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริง โดยคู่กรณีทั้งสองฝ่ายได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอ และมีโอกาสได้โต้แย้งแสดงพยานหลักฐานของตนแล้ว
ข้อเท็จจริงตามอุทธรณ์ คำขอคุ้มครองชั่วคราว คำชี้แจงของผู้อุทธรณ์ คำแก้อุทธรณ์ของคู่กรณีในอุทธรณ์ คำชี้แจงและเอกสารที่เกี่ยวข้องของคู่กรณีทั้งสองฝ่าย และการแถลงด้วยวาจาของคู่กรณีทั้งสองฝ่ายรับฟังได้ว่า
ผู้อุทธรณ์ได้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดอาญา และถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง คู่กรณีในอุทธรณ์ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาผู้ออกคำสั่งอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 มาตรา 105 มาตรา 107 มาตรา 131 และมาตรา 179 ประกอบกฎ ก.พ.ค.ตร. ว่าด้วยการสั่งพักราชการและออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ.2567 ออกคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน
วินิจฉัยว่า คำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 178/2567 ลงวันที่ 18 เมษายน พ.ศ.2567 เป็นคำสั่งที่ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ ที่กฎหมาย และกฎ ก.ตร. กำหนด และเป็นการใช้ดุลยพินิจที่เหมาะสม จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
วินิจฉัยยกอุทธรณ์ และยกคำขอกำหนดวิธีการชั่วคราวของผู้อุทธรณ์
ทั้งนี้ หากผู้อุทธรณ์ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของ ก.พ.ค.ตร. มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองสูงสุด โดยวิธีการยื่นฟ้องต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลหรือยื่นฟ้องโดยส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนภายในระยะเวลา 90 วัน นับแต่วันที่ทราบหรือถือว่าทราบคำวินิจฉัยนี้