*** คอลัมน์ฐานโซไซตี หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4,039 ระหว่างวันที่ 31 ต.ค. – 2 พ.ย. 2567 “ว.เชิงดอย” ประจำการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่มีสาระ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเช่นเคย
*** ถือเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) นำโดย นายสนั่น อังอุบลกุล ในฐานะประธาน กกร. และประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ นายผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย ได้พบปะหารือกับ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หลังได้เคยพบปะกันมาครั้งหนึ่งแล้วช่วงก่อนที่ “รัฐบาลแพทองธาร” จะแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา
*** มาครั้งนี้ (28 ต.ค.67) คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้เข้าพบ “นายกฯ แพทองธาร” และ ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยได้มอบ “สมุดปกขาว” ซึ่งเป็นข้อเสนอของภาคเอกชน เกี่ยวกับแนวทางการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และ ระยะยาว โดยมีทั้งหมด 4 ประเด็น ได้แก่ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ การช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี การบริหารจัดการน้ำ และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เสนอให้กับนายกรัฐมนตรี เพื่อพิจารณา
*** สำหรับมาตรการระยะเร่งด่วน ที่ภาคเอกชนเสนอ เช่น มาตรการลดภาระค่าครองชีพประชาชน ลดต้นทุนของผู้ประกอบการทั้งการควบคุมราคาสินค้าพื้นฐาน และบริการที่จำเป็น ตรึงราคาค่าไฟ น้ำมันดีเซล เพื่อลดต้นทุนผู้ประกอบการ และลดภาระประชาชน รวมถึงการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ โดยเอกชนขอให้เป็นไปตามกลไกของคณะอนุกรรมการไตรภาคี
*** ข้อเสนอของ กกร. เกี่ยวกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้กำหนดแนวทางการไว้รวม 3 กลุ่ม โดยเอกชนเสนอให้แยกวิธีการให้เหมาะสมและใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย มุ่งเป้ากระตุ้นเศรษฐกิจไปยัง “กลุ่มเปราะบาง” เป็นสิ่งเร่งด่วนก่อน ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการไปแล้ว
ส่วนประชาชน“กลุ่มที่ยังพอมีกำลังซื้อ”สามารถดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะ “โครงการคูณสอง” เพื่อช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณมาก
สำหรับ “กลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง” สามารถออกมาตรการดึงการจับจ่ายใช้สอยให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้น เช่น มาตรการ Easy e-Receipt ( Easy E-Receipt เป็นมาตรการภาษี ที่ช่วยลดหย่อนภาษี แก่ประชาชนที่ใช้บริการหรือซื้อสินค้าจากร้านค้าดังกล่าว สามารถนำใบกำกับอิเล็กทรอนิกส์มาลดหย่อนภาษีงินได้บุคคลธรรมดา และยังช่วยเหลือร้านค้าให้เข้าสู่ระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ด้วย) และมาตรการทางภาษีอื่น ๆ โดยรัฐไม่ต้องใช้งบประมาณ
*** สนั่น อังอุบลกุล เผยว่า ข้อเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เสนอให้รัฐบาลพิจารณา ทาง นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและรมว.คลัง ได้รับข้อเสนอไปพิจารณาแล้ว โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ทำได้เร็ว ทั้งโครงการคูนสอง และ Easy e-Receipt ซึ่งให้เร่งดำเนินการช่วงก่อนปีใหม่ ขณะที่ปี 2568 เห็นว่า รัฐบาลก็ควรมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะมีความจำเป็นต่อประชาชนที่ต้องการเงินไปจับจ่าย และยังทำให้คนขายของคนงานมีงานทำมากขึ้น ในมาตรการต่าง ๆ ในช่วง 2 สัปดาห์นี้ กกร. จะมีการประกาศข้อเสนออกมาอีกครั้ง
*** ส่วน พิชัย ชุณหวชิร ยอมรับว่า รัฐบาลรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปพิจารณา โดยการคิดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะตั้งอยู่บนฐานของความเหมาะสมของช่วงเวลา และผลที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจ โดยในปี 2567 นี้ประเมินว่า จีดีพีไทยน่าจะขยายตัวได้ 2.7-2.8% และรับข้อเสนอภาคเอกชนในการฟื้นกลไกของการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) โดยกำหนดจัดประชุม กรอ. อย่างสม่ำเสมอทุก ๆ 6 เดือน เพื่อ กรอ. เป็นกลไกสำคัญกับการแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้เต็มศักยภาพ โดยมีเป้าหมายให้จีดีพีไทยกลับมาเติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3-5% ในอนาคตอันใกล้ต่อไป
*** พูดถึง “การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ” มีเสียงบ่นดัง ๆ มาจาก สมหมาย ภาษี อดีตรมว.คลัง ในรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีต รมช.คลัง ในรัฐบาลของพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ และ อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง ว่า รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของไทยที่ลากยาวกว่าปี ตั้งแต่ นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน นั้น วันนี้รัฐบาลไทยได้ทำอะไรให้ประชาชนคนไทยระดับรากหญ้าลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้ นอกจากเรื่องแจกเงิน 10,000 บาท จากงบประมาณสองสามแสนล้านบาท ค่าแรงที่มีนโยบายจะปรับขึ้นกลับเงียบฉี่มากว่าปีแล้ว ธุรกิจเอสเอ็มอีที่ว่าจะส่งเสริมให้ลุกขึ้นมาผลิตสินค้าเพื่อสู้กับประเทศอื่นเขา เป็นไง มีอะไรที่เป็นมาตรการดีๆ ออกมาบ้าง ส่วนใหญ่ยังอยู่ในภาวะจะเฉาตายทั้งนั้น
แถมบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ก็อยู่ในภาวะหลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มีกันถ้วนหน้ามาร่วมปีเศษแล้ว รัฐบาลได้แต่คาดหวังว่าการท่องเที่ยวกับการส่งออก จะช่วยการเติบโตทางเศรษฐกิจ ลองออกไปสำรวจกันดีๆ เถอะครับ ทั้งด้านโรงแรม และร้านอาหาร สถานบันเทิงทั้งหลาย มีทีท่าว่าลูกค้าจะเพิ่มได้ไม่มากเลย อย่าหวังลมๆ แล้งๆ ว่า 3 เดือนข้างหน้านี้ การท่องเที่ยวจะมาช่วยดัน GDP ในปีนี้ให้โตถึง 3% ผมเองได้ยินมาเต็มหูว่าประเทศคู่แข่งของเราในอาเซียน ไม่ว่าจะเป็น อินโดนีเซีย มาเลเซีย และ เวียดนาม GDP ในปีนี้ของเขาจะขยายตัวสูงกว่า 5% ทุกประเทศ มันฟ้องฝีมือการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยเราได้อย่างดีอยู่แล้ว
*** จากเรื่องเศรษฐกิจของประเทศ หันไปดูเรื่องราวใน “แวดวงตำรวจ” ที่กำลังจะมีการแต่งตั้งระดับ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ ผู้บัญชาการตำแหน่งต่าง ๆ ในส่วนของเก้าอี้ “ผู้ช่วย ผบ.ตร.” มี 7 เก้าอี้ ต้องแต่งตั้งข้าราชตำรวจระดับผู้บัญชาการ ยศ “พล.ต.ท.” ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง แว่วๆ ว่า หลายคน “ขออยู่ที่เดิม” แต่ตามกฎก็ทำให้หลายคนต้องถูกบังคับให้เลื่อนขึ้น ใครที่อยู่ในตำแหน่ง 2 ปี คงต้องถูกโยกออกไปกินตำแหน่งในระดับสูงขึ้น
*** ส่วนตำแหน่ง “รอง ผบ.ตร.” น่าจับตาอย่างมากว่าใครจะได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง แทน บิ๊กต่าย - พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล หรือ “บิ๊กโจ๊ก” ที่ต้องพ้นตำแหน่งไป หลังจากถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อน
ทั้งนี้ ตามนัยมาตรา 78 แห่ง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 การคัดเลือกบุคคลแต่งตั้งเป็นข้าราชการตำรวจ ให้เป็นไปตามกฎคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (กฎ ก.ตร.) ว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ พ.ศ.2567 ที่ให้ยึดตาม “ลำดับอาวุโส” แต่ในระนาบ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ที่จะขึ้นเป็น รอง ผบ.ตร. นั้น บางคน “ถูกจับตา” เพราะเข้าไปเกี่ยวข้องกับอะไรบางอย่าง ที่จะทำให้การก้าวขึ้นมา ดู “ไม่ขาวสะอาด” เพราะถ้ายึดตามลำดับอาวุโส 100% ได้ขึ้นแน่ๆ บางคนถูกจับตา “รวยล้นฟ้า” มีทรัพย์ศฤงคารเต็มไปหมด บางคนกลุ่มสีเทา เรียก “พ่อ” แต่จ่อคิวขึ้นตามลำดับอาวุโส 100% เรื่องนี้ “ก.ตร.” จะว่าอย่างไร? จะยึด “อาวุโส” หรือ “ความถูกต้อง” ...ขอฝากเป็นการบ้านให้กับ ก.ตร. ที่มี แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ เป็นประธาน ไว้ด้วย