ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ได้อภิปรายตอนหนึ่งถึงกรณีการโอนหุ้นของ น.ส.แพทองธาร ให้แก่มารดา และพี่สาว รวมถึงการแจ้งบัญชีทรัพย์สินมีหนี้เป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน (ตั๋ว PN) กว่า 4.4 พันล้านบาท ส่อเข้าข่ายหลีกเลี่ยงภาษี ใช้เป็นเครื่องมือทำนิติกรรมอำพราง ในการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินหรือไม่
ข้องใจโอนหุ้น 2 บริษัทเสียภาษีหรือไม่
นายวิโรจน์ อภิปรายเริ่มจากกรณีการโอนหุ้นหลังเข้ารับตำแหน่งนายกฯ กรณีเมื่อวันที่ 18 ส.ค. 2567 โอนหุ้นใน บริษัท อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ จำกัด จำนวน 22,410,00 หุ้น มูลค่า 224.1 ล้านบาท ให้แก่มารดา (คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ) และ เมื่อ 5 ก.ย. 2567 โอนหุ้นบริษัท ประไหมสุหรี พร้อพเพอร์ตี้ จำกัด จำนวน 16,949,990 หุ้น มูลค่า 169.4 ล้านบาท ให้แก่ น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ (พี่สาว)
นายวิโรจน์ อภิปรายว่า ถ้าการโอนหุ้นดังกล่าว เป็นการให้แม่ และพี่สาว ซึ่งในฐานะผู้รับ มีภาระในการจ่ายภาษีการรับให้ โดยกรณีแม่ ภาษีการรับให้ที่ต้องจ่ายให้รัฐ 10.2 ล้านบาท ส่วนพี่สาว มีหน้าที่เสียภาษีการรับให้เช่นเดียวกัน คิดเป็นเงิน 8 ล้านบาท รวมแล้วรัฐต้องได้ภาษีการรับให้ 18.2 ล้านบาท
“ต้องถาม น.ส.แพทองธาร ในฐานะนายกฯว่ า รัฐจะได้รับภาษีการรับให้ 18.2 ล้านบาทก้อนนี้หรือไม่ แต่ไม่เป็นไรภายใน 31 มี.ค. 2568 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายในการจ่ายภาษี ประเทศนี้ก็จะรู้”
ตั๋ว PN 9 บริษัท 4.4 พันล้านบาท
อีกประเด็นที่ต้องตั้งคำถามคือ น.ส.แพทองธาร มีพฤติการณ์ใช้ช่องว่างทางกฎหมาย นิติกรรมอำพราง ในการหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีการรับให้ตั้งแต่ปี 2559 หรือ แต่เดิมก่อนมีภาษีการรับให้ การโอนหุ้นให้คนนี้ การยักย้ายถ่ายเทซุกหุ้น อ้างว่าให้โดยเสน่หา ภาษีไม่ต้องเสียสักสลึง แต่พอแก้ภาษีประมวลรัษฎากร ภาษีการรับให้เมื่อปี 2558 บังคับใช้ 1 ก.พ. 2559
หมายความว่า ตั้งแต่ 1 ก.พ. 2559 เป็นต้นไป ตามประมวลรัษฎากรฯ มาตรา 42 (27) เงินที่ได้จากการรับโดยเสน่หา จากบุพการี จะต้องได้รับการยกเว้นภาษีไม่เกิน 20 ล้านบาทตลอดปีภาษีนั้น หมายความว่า ลูกให้แม่ แม่ให้ลูก ถ้าเกิน 20 ล้านบาท ต้องเสียภาษีอัตรา 5% ส่วนมาตรา 42 (28) เงินได้ที่ได้รับจากการอุปการะ โดยหน้าที่ธรรมจรรยา หรือให้โดยเสน่หา หรือขนบธรรมเนียมประเพณี บุคคลไม่ใช่บุพการี หรือผู้สืบสันดาน ไม่เกิน 10 ล้านบาท หมายความว่า ถ้าพี่ให้น้อง น้องให้พี่ ลุงให้หลาน ถ้าเกิน 10 ล้านบาท ส่วนที่เกินต้องเสียภาษีรับให้ 5%
“ถ้าไม่อยากจ่ายภาษีรับให้ พ่อแม่ส่วนใหญ่จะทยอยให้ ปีละไม่เกิน 20 ล้านบาท ถ้าอยากให้ทั้งก้อนตัดจบไปเลย ส่วนที่เกิน 20 ล้านบาท ก็จ่ายภาษีรับให้อัตรา 5% ตรงไปตรงมา แทนที่ แพทองธาร จะทำเหมือนมนุษย์มนาทำกัน กลับใช้ช่องทางกฎหมาย หลีกเลี่ยงภาษีรับให้ตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา เรื่องนี้ประชาชนทุกคน สามารถแกะรอยได้จากบัญชีทรัพย์สิน แพทองธาร ที่ยื่นรับตำแหน่งนายกฯ”
จับพิรุธส่อเลี่ยงภาษีอีก 218.7 ล้านบาท
นายวิโรจน์ อธิบายว่า ใน 9 บริษัทดังกล่าวที่ น.ส.แพทองธารใช้ตั๋วสัญญาใช้เงิน (ตั๋ว PN) รวมวงเงิน 4,434.5 ล้านบาท ซึ่งถูกแจ้งในส่วนของหนี้สินจากบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของ น.ส.แพทองธาร กรณีเข้ารับตำแหน่งนายกฯ ทว่าการใช้ตั๋ว PN ดังกล่าว ส่อมีพฤติการณ์ทำนิติกรรมอำพราง ส่อเข้าข่ายหลีกเลี่ยงภาษีอย่างน้อย 218.7 ล้านบาท แบ่งเป็น
1.น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ (พี่สาว) 4 ฉบับ รวมเป็นเงิน 2,388,724,095.42 บาท ชำระ ค่าหุ้นบริษัท พี.ที.คอร์ปอเรชั่น จำกัด ,บริษัท เรนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด,บริษัท เอสซี ออฟฟิซ พลาซ่า จำกัด และ บริษัท เอส ซี เค เอสเทต จำกัด โดยจะต้องเสียภาษีอย่างน้อย 118.9 ล้านบาท
2.นายพานทองแท้ ชินวัตร (พี่ชาย) 1 ฉบับ เป็นเงิน 335,420,541 บาท ชำระค่าหุ้น บริษัท เรนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ต้องเสียภาษีอย่างน้อย 16.3 ล้านบาท
3.นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ (มีศักดิ์เป็นลุง เพราะเป็นพี่ชายคุณหญิงพจมาน) 2 ฉบับ เป็นเงิน 1,315,460,000 บาท ชำระค่าหุ้น บริษัท โอเอ ไอ แมนเนจเม้นท์ จำกัด และ บริษัท บี.บี.ดี. ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ต้องเสียภาษีอย่างน้อย 65.3 ล้านบาท
4.นางบุษบา ดามาพงศ์ (มีศักดิ์เป็นป้าสะใภ้ เพราะเป็นภริยานายบรรณพจน์) 1 ฉบับ เป็นเงิน 258,400,000 บาท ชำระค่าหุ้น บริษัท บี.บี.ดี. ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ต้องเสียภาษีอย่างน้อย 12.4 ล้านบาท
5.คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ (มารดา) 1 ฉบับ เป็นเงิน 136,517,701.60 บาท ชำระค่าหุ้น บริษัท โอเอไอ คอนซัลแต้นท์ แอนด์ แมนเนจเม้นท์ จำกัด ต้องเสียภาษีอย่างน้อย 5.8 ล้านบาท
นายวิโรจน์ อภิปรายว่า เมื่อดูรายละเอียด เอกสารประกอบหนี้สิน 9 รายการที่ว่า มูลค่ากว่า 4.4 พันล้านบาท เป็นหนี้ 4 พันกว่าล้านบาท มาดูเอกสารแนบ มี 9 แผ่น หนี้รายการเดียวเอกสาร 1 แผ่น เปรียบเทียบกับกรณี น.ส.แพทองธาร ให้คนอื่นกู้ 28 ล้านบาท ยังมีเอกสารแนบถึง 55 แผ่น
ดังนั้น ฟันธงได้เลยว่า หนี้สินของ น.ส.แพทองธาร ที่เป็นลูกหนี้เขาทั้ง 9 รายการ ที่ระบุในบัญชีทรัพย์สิน จึงไม่ใช่หนี้ที่อยู่ในรูปแบบสัญญาเงินกู้แน่ ๆ แต่เป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือ ที่เรียกว่าตั๋ว PN ที่เป็นหนี้สินที่ น.ส.แพทองธาร ซื้อหุ้นพี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ เป็นการซื้อหุ้น และออกตั๋ว PN แทนการจ่ายเงิน
“ตั๋ว PN 9 ใบนี้ มีเงื่อนไขสุดว้าวมาก ๆ จะชำระเงินค่าซื้อหุ้นเมื่อทวงถามโดยไม่มีดอกเบี้ย ซื้อหุ้นกันภาษาอะไรไม่มีกำหนดจ่ายค่าซื้อหุ้นเมื่อไหร่ หมายความว่า หนี้สิน 9 รายการนี้ ที่มาจากการซื้อหุ้นข้างต้น เป็นหนี้สินที่ไม่มีกำหนดว่า น.ส.แพทองธาร ต้องจ่ายให้เขาเมื่อไหร่ ถ้าไม่มีใครทวง ก็ไม่ต้องจ่าย ลืมไปได้เลยว่าเคยเป็นหนี้ ดอกเบี้ยก็ไม่มีใครคิด ไม่มีภาระจ่ายดอกเบี้ยอะไรให้คนเหล่านี้”
นายวิโรจน์ อภิปรายอีกว่า ถ้าตั๋ว PN 9 ใบนี้ มีรายละเอียดตามที่ว่า ไม่มีการกำหนดชำระเมื่อไหร่ ดอกเบี้ยก็ไม่มี แสดงว่าการซื้อหุ้นของคนเหล่านี้ ในครั้งนี้ ต้องสงสัยอย่างฉกรรจ์ว่า เป็นการใช้ตั๋ว PN เป็นเครื่องมือทำนิติกรรมอำพราง ทำธุรกรรมการซื้อปลอม ตบตาการได้หุ้นจากการให้ มาเป็นการซื้อหุ้นเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีการรับให้ ที่ต้องจ่ายให้กับแผ่นดิน เป็นพฤติกรรมเอารัดเอาเปรียบประชาชน บ่อนทำลายการพัฒนาประเทศ
นายวิโรจน์ อภิปรายถึงจุดแตกต่างภาษีการรับให้ว่า ถ้า น.ส.แพทองธาร ได้หุ้นจากการให้ของคนเหล่านี้ ต้องเสียภาษีการรับให้กับรัฐ แต่ถ้าซื้อหุ้นจากคนเหล่านี้ ทำเป็นซื้อได้เมื่อไหร่ ก็ไม่ต้องจ่ายภาษีเลยแม้แต่สตางค์แดงเดียว หนักกว่านั้น เนื่องจากหลักเกณฑ์การเสียภาษีบุคคลธรรมดา ใช้เกณฑ์เงินสด รายได้ถูกนับเป็นเงินได้พึงประเมิน ต่อเมื่อได้รับเงินสด
คราวนี้ พอ น.ส.แพทองธาร จ่ายค่าหุ้นด้วยตั๋ว PN ที่ไม่ได้จ่ายเงินจริง ๆ ทำให้คนเหล่านี้ ไม่ต้องเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดาแม้แต่บาทเดียว ต่อให้จ่ายค่าซื้อหุ้นภายหลัง คนเหล่านี้ก็อาจไม่ต้องเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดาอยู่ดี เพราะประมวลกฎหมายรัษฎากร รายได้ขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ จะถูกนับเป็นเงินได้พึงประเมิน ถ้ากงสีขายให้ราคาพาร์ หรือทุน ยังไงคนเหล่านี้ ก็ไม่ต้องจ่ายภาษี
“จากพฤติกรรมทั้งหมดที่อธิบายไป นี่เป็นการซื้อหุ้น ถ้าตลอดชีวิต ไม่มีการทวง แพทองธาร ได้หุ้นจากการให้ของกงสี โดยแพทองธาร ไม่ต้องควักกระเป๋า จ่ายเงินค่าซื้อหุ้นเลยแม้แต่บาทเดียว ทั้งแพทองธาร พร้อมด้วยญาติโกโหติกา ไม่ต้องเสียภาษี แม้แต่เศษเนื้อเศษกระดูกก็ไม่ปล่อยให้ตกกับกรมสรรพากร” นายวิโรจน์ ระบุ
ยกคำศาลฎีกาใช้ช่องว่างตั๋ว PN
นายวิโรจน์ อภิปรายด้วยว่า ตั๋ว PN ปกติใช้กันได้ในแวดวงการค้า มักใช้กันเป็นสัญญาเงินกู้ยืมระยะสั้น ใช้กันในหมู่ธุรกิจที่ค้าขายกันมานาน จนไว้เนื้อเชื่อใจ เพราะให้กู้ยืมไม่มีหลักประกันชัดเจน แต่ลองถามกรมสรรพากร ถ้าบริษัทไหนออกตั๋ว PN ส่งเดช เอาแค่หลัก 10 ล้านบาท กรมสรรพากรก็วิ่งมาตรวจสอบแล้วว่า บริษัทมีพฤติการณ์การว่าจ้างปลอมหรือไม่ แล้วใช้ตั๋ว PN เป็นค่าใช้จ่ายปลอม เพื่อเสียภาษีนิติบุคคลลดลงหรือไม่
“นี่คือกลโกงหนีภาษี เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 499/2562 ออกมาเป็นแนวแล้วด้วยว่าการใช้ตั๋ว PN กระทำผิดกฎหมาย หรือขัดความสงบ ศีลธรรมอันดี ตั๋ว PN นั้นเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ฯ”
นายวิโรจน์ กล่าวว่า “พฤติการณ์ได้หุ้นกงสีของแพทองธาร แล้วออกตั๋ว PN จำแลงว่าเป็นการซื้อหุ้น เป็นพฤติการณ์ที่ประชาชนที่ฟังจนถึงตอนนี้เข้าใจได้ทันทีว่า มีเจตนาหนีภาษีรับให้ เป็นการเอารัดเอาเปรียบสังคม ลิดรอนกัดกร่อนประเทศชาติ ไม่ได้เกลียดคนรวย คนอื่นให้หุ้นลูก เขาก็เสียภาษีรับให้ถูกต้อง แพทองธารเป็นคนแบบไหน เสียภาษีแบบที่มนุษย์ทำกันไม่ได้หรือไง คนหนีภาษีแบบนี้ เราควรให้ยืนลอยหน้าลอยตาเป็นนายกฯได้ยังไง”
เล็งยื่นกรมสรรพากรตรวจสอบ
นายวิโรจน์ อภิปรายว่า ตั้งแต่ 1 ก.พ. 2559 พอมีภาษีการรับให้เกิดขึ้น ขืนโอนหุ้นยุบยับกันไปมาในวงษ์ตระกูล น.ส.แพทองธาร ต้องจ่ายภาษีรับให้เป็นพัน ๆ ล้านบาทแน่ ซึ่งคนอย่าง น.ส.แพทองธาร ไม่จ่ายอยู่แล้ว เพื่อให้สะดวกยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน จึงใช้ตั๋ว PN เป็นเครื่องมือธุรกรรมซื้อขายปลอม ไม่ใช่หลีกเลี่ยงภาษี แต่ใช้นิติกรรมอำพราง เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบอีกกระทง
ถ้าเจตนาแท้จริง น.ส.แพทองธาร ได้หุ้นรับให้จากเครือญาติ แต่จงใจใช้ตั๋ว PN เป็นเครื่องมือสร้างหนี้ปลอม สร้างธุรกรรมซื้อหุ้นปลอม พฤติกรรมแบบนี้ คือ ทำนิติกรรมอำพราง หลีกเลี่ยงจ่ายภาษีรับให้ เข้าข่ายมีความผิด กรณีไม่จ่ายภาษี ตามประมวลกฎหมายรัษฎากร มาตรา 37 (2)
โดยเมื่อต้นปี 2568 มีผู้สื่อข่าวถาม น.ส.แพทองธาร แต่แทนที่จะชี้แจงตรงไปตรงมา กลับเฉไฉบ่ายเบี่ยง บอกว่า ช่วย save ดิฉันด้วย แล้วหัวเราะกลบเกลื่อน แล้วไม่เคยหวนกลับมาตอบเรื่องนี้อีกเลย อยากบอก น.ส.แพทองธาร ผ่านประธานสภาฯว่า วันนี้ใครก็ช่วย save แพทองธาร ไม่ได้อีกแล้ว เพราะตามข้อบังคับการประชุมฯ ข้อที่ 177 น.ส.แพทองธาร ต้องตอบคำถามนี้ด้วยตัวเอง เพราะเป็นการจัดการทรัพย์สินของตัวเอง ถ้าให้คุณพ่อมาช่วยตอบ สามารถอนุญาตตามข้อบังคับการประชุมฯ ข้อที่ 76 ได้ อยากรู้ว่าเวลาเจ้าสำนักมาชี้แนะ จะล้ำลึกพิสดารได้ขนาดไหน
“ถ้าเรายอมรับการใช้ตั๋ว PN โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ต่อไปตั๋ว PN จะถูกใช้ในการติดสินบนเจ้าหน้าที่ เอาเงินเป็นร้อยล้าน แล้วให้ออกตั๋ว PN มาแล้ว แล้วอ้างว่านี่ไม่ใช่ให้สินบน แต่เป็นการข้าราชการระดับสูงมายืมเงิน แต่เจอเจ้าหนี้แสนประเสริฐ ให้ยืมไม่มีกำหนดจ่ายคืน ไม่มีดอกเบี้ย ไม่ต้องห่วงว่าจะถูกกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติ แต่จะมีแต่ข้าราชการระดับสูง ยากจนผิดปกติ จมไปด้วยหนี้ตั๋ว PN ท่วมหัว แต่ไม่ต้องกลัว ชาตินี้ไม่ต้องคืน เรายอมรับวิธีแบบนี้ได้จริง ๆ หรือ รวมถึงอาจใช้ตั๋ว PN ในการฟอกเงินจากการกระทำผิดกฎหมายได้ด้วย”
นายวิโรจน์ อภิปรายทิ้งท้ายว่า ประเด็นนี้จะส่งเรื่องให้อธิบดีกรมสรรพากร เพื่อตรวจสอบ หากอธิบดีบอกว่าการโอนหุ้นแบบนี้ ใช้ตั๋ว PN ไม่ผิดกฎหมาย ไม่เข้าข่ายหลีกเลี่ยงภาษี ต้องให้อธิบดี ออกระเบียบมาให้ชัดว่า ต่อจากนี้ใครโอนหุ้นให้ลูก หลาน เพื่อน ในปีภาษีหนึ่ง เกิน 20 ล้านบาท ถ้าไม่ประสงค์เสียภาษีรับให้ 5% ให้ใช้ตั๋ว PN แสร้งทำได้ เขาจะได้เอาพฤติการณ์แพทองธารเป็นเยี่ยงอย่าง การจัดเก็บภาษีประเทศนี้ได้เสมอภาคกัน ไม่ใช่เก่งกับรีดเลือดกับปู แต่ปล่อยผ่านคนมั่งมีระดับนายกฯ ให้มีพฤติกรรมหนีภาษีแบบนี้
นายวิโรจน์ กล่าวด้วยว่า เตรียมยื่นคำร้องไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อไต่สวนเรื่องดังกล่าวด้วย ทั้งประเด็นกล่าวหาส่อทุจริต และประเด็นผิดมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง