วันนี้ (25 มีนาคม 2568) ที่รัฐสภา น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า ขอบคุณ น.ส.แพทองธาร ที่ทำให้คนไทยตาสว่าง ได้เรียนรู้ว่ารัฐบาล พรรคเพื่อไทยไม่ได้เก่งกาจด้านเศรษฐกิจเหมือนที่เคยบอกไว้ ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญ ความรู้ความเข้าใจด้านเศรษฐกิจ และบริหารเศรษฐกิจล้มเหลว จนทำให้คนร้องหาลุงตู่ คิดถึงลุงตู่ ทั้งที่เศรษฐกิจช่วงนั้นเลวร้ายสุดในช่วง 10 ปี
ทั้งนี้ในด้านเกษตรกรนั้น เห็นว่ารายได้เกษตรกรใน 4 พืชหลักทั้งข้าว อ้อย มันสำปะหลัง และข้าวโพด ซึ่งเป็น 3 ใน 4 ของเกษตรกรทั้งประเทศ มีราคาตกต่ำ ตั้งแต่สิงหาคม 2567 - กุมภาพันธ์ 2568 โดยเฉพาะรายได้ชาวนาลดลงตั้งแต่นาปี-นาปรังกว่า 20% โดยราคาข้าวล่าสุดลดลงเหลือตันละ 5,000 บาท จากทะลุตันละ 20,000 บาท
ขณะที่ชาวไร่อ้อย เปิดหีบฤดูกาลผลิต 2567/68 ตกไปเหลือตันละ 1,160 บาท จากฤดูกาลก่อนทะลุตันละ 1,400 บาท ทำให้ราคาหายไป 20% รายได้ตกไป 14% เช่นเดียวกับรายได้ผู้ปลูกมันสำปะหลัง ตกไปกว่า 40% ปัจจุบันราคากก.ละ 0.90 บาท ส่วนรายได้ชาวไร่ข้าวโพด ตอนนี้รายได้ลดลง 20% รวมทั้งต้นทุนการผลิต ทั้งปุ๋ย ปูนซิเมนต์ ค่าไฟฟ้า และค่าอินเตอร์เน็ตมือถือ ก็ขึ้นราคา
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ในส่วนของนักลงทุนรายย่อยในตลาดหุ้นก็ยังได้รับผลกระทบจากการบริหารตลาดทุนของรัฐบาล จากวันที่รับตำแหน่งจนถึงวันแถลงนโยบาย ตอนนั้นหุ้นดีดขึ้นมา แต่หลังจากมีนโยบายวายุภักษ์ 2.0 มูลค่า 1.5 แสนล้านบาท ดัชนีก็ร่วงไม่หยุดจนต่ำอยุ๋ในระดับเดียวกับช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ปี 2555 ทำให้มูลค่าตลาดหายไป 3 ล้านล้านบาท หรือเงินหายไปจากกระเป๋า 20%
ส่วนแนวโน้มกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น 925 บริษัท มีกำไรลดลงจากปีก่อน โดยมีบริษัท 1 ใน 3 ผลประกอบการขาดทุนด้วย
"เศรษฐกิจไทยตอนนี้ดีสุด ๆ แล้ว ต่อจากนี้ไปจะกลายเป็นขาลงอย่างเดียวแล้ว โดยคาดว่าไตรมาสหนึ่ง ปี 68 จะโต 3% ไตรมาสสอง โต 2.7% ส่วนไตรมาสสามและสี เหลือไม่ถึง 2% แล้วนายกฯ จะรับมือเศรษฐกิจตกต่ำอย่างไร แน่นอนว่าต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับมา"
ทั้งนี้เห็นว่าในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น เห็นว่า คณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ จะผลักดันเงินดิจิทัลวอลเล็ตออกมาแน่นอน แต่ที่ผ่านมาการแจกเงินหมื่น 2 เฟส เห็นว่าเป็นการสูญเสียเงินงบประมาณกว่า 1.8 แสนล้านบาท ล้มเหลวในฐานะเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะการบริโภคไม่กระเตื้อง จีพีดีไม่กระตุก แต่รอบนี้ลดลงเหลือ 2.7 ล้านคน แจกแบบนี้ นอกจากกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้แล้วคะแนนนิยมทางการเมืองก็ไม่ได้เช่นกัน
ส่วนมาตรการอื่น ๆ เช่น การท่องเที่ยว เร่งรัดการเบิกจ่ายลงทุน และเร่งรัดการลงทุนเอกชน มาตรการส่วนใหญ่เป็นไปในลักษณะเดียวกับรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็เห็นแล้วว่าไม่ได้ผล
"งบก้อนใหญ่ที่เบิกจ่ายได้น้อย คืองบกลางที่กั๊กไว้ทำดิจิทัลวอลเล็ต 1.87 แสนล้านบาท ตอนนี้ใช้ไป 3 หมื่นล้านบาท และจะใช้ในดิจิทัลวอลเล็ตอีก 3 หมื่นล้าน เหลืออีก 1.3 แสนล้านบาท ตอนนี้ก็ยังไม่มีโครงการอะไรที่รอทำ หรือจะทำแล้วไม่บอกก็ไม่รู้ จึงไม่รู้ว่าจะกั๊กไว้ทำไม เพราะจำเป็นต้องเรียกความเชื่อมั่น ถ้ารีรออย่างนี้อีก 6 เดือนจะหมดเวลาแล้วจะใช้หมดไหม"
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ในส่วนของมาตรการใหม่ที่เตรียมจะซื้อหนี้ประชาชน เห็นว่า เป็นเรื่องดีที่จะช่วยแก้ปัญหาหนี้ของประชาชน แต่ถ้าจะทำใหม่อีกโครงการก็อยากให้โครงการเก่า คือ คุณสู้เราช่วย ก่อนจะดีกว่า เพื่อไม่ให้เกิดการทับซ้อน เพราะเมื่อลูกหนี้รับเงื่อนไขคุณสู้เราช่วยไปแล้ว แต่เงื่อนไขโครงการใหม่ดีกว่าจะทำอย่างไร รวมทั้งลูกหนี้ที่ดีที่ยังไม่เสียก็ยังไม่มีมาตรการช่วยเหลือออกมา
ส่วนมาตรการช่วยเหลือด้านการเกษตรนั้น ปัจจุบันราคาข้าวตกต่ำต่อเนื่อง แต่รัฐบาลยังไม่ได้เตรียมการล่วงหน้า มีแค่โครงการไร่ละ 1,000 บาทอย่างเดียว ขณะที่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) กลับประกาศให้ชาวนาปลูกข้าวนาปรังเพิ่มเกือบ 1 ล้านไร่ และน่าจะมีข้าวเข้ามาอีก 7-8 แสนตัน แถมไม่ได้หาตลาดรองรับด้วย แถมยังให้ชาวนาไปปลูกกล้วยเพิ่ม
ต่อมาคือเรื่องอ้อย ฤดูกาลผลิตก่อนราคาดี แต่นายกฯ กลับหยิบเอามติครม.เก่าค้างอยู่มาแถลงข่าว คือราคาอ้อยกก.ละ 14,00 บาท ซึ่งเป็นราคาอ้อยเมื่อปี 2566/67 ที่ปิดหีบไปแล้ว ทำให้ชาวไร่อ้อย และโรงงานน้ำตาลสับสน เพราะราคาปัจจุบัน คือกก.ละ 1,100 บาท เท่านั้น และตอนนี้ชาวไร้อ้อยก็ยังรอเงินช่วยตัดอ้อยสด 120 บาทต่อตัน มากว่า 2 ปี แต่ขณะนี้โครงการก็ยังไม่ออกมา
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า อีกเรื่องคือการสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนในตลาดหุ้น โดยมีกรณีเกิดขึ้นกับตลาดหุ้นแต่ก็ยังไม่เห็นว่ามีมาตรการกำกับดูแลอย่างไร ขณะที่การออกร่างพ.ร.ก.ให้อำนาจ ก.ล.ต.ดำเนินคดีอาญา ก็ยังไม่ผลักดันเข้าครม. จึงไม่มั่นใจว่าจะฟื้นฟูความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้อย่างไร เช่นเดียวกับการปัดฝุ่นนโยบายเก่ามาใหม่ ทั้ง กองทุนหมู่บ้านฯ พักหนี้เกษตรกร ซื้อหนี้เสีย บ้านเอื้ออาทร และทุน ODOS ก็ไม่แน่ใจว่าจะได้ผลเหมือนอดีตหรือไม่
ส่วนเรื่อง Stablecoin ซึ่ง นายกฯ ได้สั่งให้กระทรวงการคลังรับไปศึกษานั้น เห็นว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นการเพิ่มปริมาณเงินจากเดิมที่ธนาคารแห่งประเทศไทย จะปริ้นท์เงิน สู่กองทรัสต์มิ้นท์ Stablecoin แต่ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่ เพราะถ้าดูปริมาณเงินในระบบก็ยังมีอยู่ นอกจากนี้รัฐบาลยังควรต้องเตรียมรองรับกรณีสหรัฐฯ เตรียมปรับขึ้นภาาษีกับไทยด้วย