***คอลัมน์ฐานโซไซตี หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3856 ระหว่างวันที่ 26-28 ม.ค. 2566 โดย “ว.เชิงดอย” ประจำการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่มีสาระ เป็น ประโยชน์ต่อสาธารณะเช่นเคย
*** ขอไปเริ่มต้นกันที่เรื่อง “ประชาธิปไตยกินได้” กันก่อน เพราะเหลือเวลาของ “รัฐบาลุงตู่” อีกราว 2 เดือน ก็จะหมดวาระลงในวันที่ 23 มี.ค.2566 ซึ่งต้องนำไปสู่การเลือกตั้งกันใหม่แน่นอน และ ทางสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ก็ได้วางไทม์ไลน์เบื้องต้นเอาไว้แล้วว่า จะกำหนดให้มีการหย่อนบัตรลงคะแนนกันวันอาทิตย์ที่ 7 พ.ค.2566 เว้นเสียแต่ว่ามีการ “ยุบสภา” เกิดขึ้นเสียก่อน การเลือกตั้ง ก็จะร่นขึ้นมาเร็วขึ้นอีกเล็กน้อย
** ทีนี้เข้าเรื่อง “ประชาธิปไตยกินได้” ก็มาจากไอเดียของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่ได้เสนอว่า ในการเลือกตั้งน่าจะมีค่ารถ ค่าเดินทาง ให้กับผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ไปใช้สิทธิลงคะแนน ผู้ที่เสนอเรื่องนี้ก็คือ วงศ์สยาม เพ็งพานิชภักดี ส.ว. ในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ที่มี เสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว.เป็นประธาน กมธ. โดยเป็นการเสนอในที่ประชุมชุมวุฒิสภา เมื่อวันที่ 23 ม.ค.2566 ที่ผ่านมา ระหว่างการพิจารณารายงานการศึกษาแนวทางการส่งเสริมและการพัฒนาการเลือกตั้งให้สุจริตและเที่ยงธรรม
*** วงศ์สยาม เพ็งพานิชภักดี ให้เหตุผลว่า การเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมาพบการซื้อเสียงทุกพื้นที่ แยบยลมากขึ้น หรือ การเลือกตั้งท้องถิ่น อาทิ เลือกนายกเทศบาล เลือกนายก อบต.พ่วงสมาชิก ซื้อเสียงเป็นพวงๆ ละ 1 - 2 หมื่นบาท ต้องสร้างความรู้ให้ประชาชนต่อต้านทุจริต การบังคับใช้กฎหมายเลือกตั้งต้องเข้มงวด แก้กฎหมายให้ผู้ขายสิทธิไม่ใช่ผู้กระทำผิด เพื่อกันไว้เป็นพยาน เอาผิดคนซื้อเสียง ให้รางวัลนำจับผู้ให้เบาะแสซื้อเสียง ปัญหารับเงินซื้อเสียงมาจากความจำเป็นทางเศรษฐกิจ เสนอให้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หรือ ภาครัฐ จ่ายค่าเดินทางผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง คนละ 500 บาท ใช้เงิน 2 หมื่นล้านบาท จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 40 ล้านคน …การให้ค่าเดินทางไปใช้สิทธิเลือกตั้ง 4 ปีมีครั้ง ทำให้ประชาชนตอบแทนคุณแผ่นดิน เลือกคนดี ไม่ซื้อสิทธิขายเสียง ต่างจังหวัดต้องเดินทางไกล มีค่าใช้จ่าย 80-100 บาท ให้ประชาชนรู้สึก “ประชาธิปไตยกินได้” ตั้งแต่วันออกมาใช้สิทธิ
*** ขณะที่ส.ว.คนอื่น ๆ อาทิ ถาวร เทพวิมลเพชรกุล ก็ได้อภิปรายสนับสนุนให้ กกต. จ่ายค่าเดินทางตอบแทนผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง 500 บาท การทุจริตเลือกตั้งที่ปราบปรามไม่ได้ เนื่องจาก กกต.ประจำหน่วย หรือ ผอ.เลือกตั้งในพื้นที่ไม่มีความรู้ ควบคุมการเลือกตั้งให้ยุติธรรมไม่ได้
กิตติศักดิ์ รัตนวราหะ ส.ว. อภิปรายว่า ขณะนี้ใกล้ถึงวันเลือกตั้ง มีข่าวนักการเมืองย้ายพรรค เหมา ส.ส.ด้วย “กล้วย” น้ำหนักมากมาย บางพรรคแจกกล้วย 80 กิโลกรัม อะไรๆ ก็แจกกล้วย จะให้ประชาชนคิดอย่างไร จากการลงพื้นที่ มีนักการเมืองท้องถิ่น เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายก อบจ. มาบอกผมว่า ขอฝากประเด็นแก้รัฐธรรมนูญว่า เมื่อจะแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 158 วาระนายกฯ 8 ปี ก็ช่วยปลดล็อกนายก อบจ., นายก อบต., นายกเทศมนตรี, กำนัน และ ผู้ใหญ่บ้าน ให้ไม่ต้องจำกัดวาระดำรงตำแหน่งด้วย อย่างกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน บางคนอายุ 60 ปีแล้ว ยังแข็งแรง ทำงานได้ สามารถต่ออายุได้อีก หากมีการแก้รัฐธรรมนูญในรัฐบาลต่อไป จะเสนอปลดล็อกตามที่เสนอมา
*** ส่วน จเด็จ อินสว่าง ส.ว. อภิปรายว่า ถ้าดูจากการหาเสียงของพรรคการเมืองขณะนี้ มีการสัญญาว่าจะให้ เสี่ยงผิดกฎหมายมากมาย หรือ การครอบงำพรรคการเมืองให้คนไม่เป็นสมาชิกพรรคมาชี้นำ ก็สุ่มเสี่ยงผิดกฎหมาย การซื้อสิทธิขายเสียงไม่ใช่อย่างเดียวที่ทำลายประชาธิปไตย แต่มีอีกหลายเรื่องที่บ่อนทำลายประชาธิปไตย เป็นกับดักประชาธิปไตย ถึงจะได้เสียงข้างมากเป็นรัฐบาล ถือว่าได้มาไม่ถูกต้อง “ถ้าปล่อยให้มีวัฒนธรรมเลวๆ ชั่วช้าต่ำทรามเช่นนี้ บ้านเมืองจะหายนะ หลายหมู่บ้าน หลายตำบลรับวัฒนธรรมซื้อเสียงว่า เป็นเรื่องชอบธรรม ถ้าปล่อยไปจะได้นักการเมืองไม่ชอบธรรม ไปออกกฎหมายปกครองบ้านเมือง จะยิ่งเลวไปอีก ทั้งนี้หลังจากที่สมาชิกวุฒิสภาอภิปรายครบถ้วนแล้ว ไม่มีใครคัดค้านรายงานฉบับดังกล่าว ถือว่าที่ประชุมเห็นชอบ ให้นำเสนอต่อรัฐบาลนำไปพิจารณาต่อไป” ...ทั้งหมดเป็นไอเดียของบรรดา ส.ว. ส่วนข้อเสนอต่าง ๆ จะนำไปสู่ความเป็นจริงในทางปฏิบัติหรือไม่ ต้องรอติดตามดูกันไป...
*** จากเรื่องการเมืองไปต่อกันที่เรื่อง “เศรษฐกิจ” เป็นเรื่องที่จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย โดย ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ Economic Intelligence Center ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB EIC วิเคราะห์เศรษฐกิจโลกปี 2566 ว่า มีแนวโน้มชะลอลงมากจากปีก่อน แต่ความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกถดถอยปรับลดลง เศรษฐกิจหลักส่วนใหญ่ที่เริ่มปรับดีขึ้นจากจุดต่ำสุด อีกทั้งผลกระทบจากวิกฤตพลังงานในกลุ่มประเทศยุโรปน้อยกว่าคาด จากราคาพลังงานโลกที่ลดลงเร็ว และฤดูหนาวไม่รุนแรงมาก รวมถึงอัตราการว่างงานยังลดลงต่อเนื่อง
นอกจากนี้จีนเปิดประเทศเร็วกว่าคาด และทิศทางเงินเฟ้อโลกเริ่มชะลอตัวชัดเจนขึ้น ทำให้ความกังวลภาวะการเงินตึงตัวเริ่มปรับลดลง เนื่องจากนโยบายการเงินโลกจะไม่เข้มงวดมากไปกว่าที่ตลาดคาดไว้ ทั้งนี้แม้ทิศทางเศรษฐกิจโลกจะปรับดีขึ้นบ้าง แต่ความไม่แน่นอนยังมีอยู่สูงจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และการแพร่ระบาดในจีน ที่อาจทำให้จีนกลับมาใช้มาตรการคุมเข้มอีกครั้งโดย SCB EIC ประเมินว่า ธนาคารกลางสหรัฐ จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้งในช่วงครึ่งแรกของปี (ครั้งละ 0.25% หรือ 25 BPS) สู่ระดับ 4.75-5% และคงดอกเบี้ยตลอดช่วงที่เหลือของปีนี้
*** ขณะที่เศรษฐกิจไทยปี 2566 ทาง SCB EIC คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง 3.4% แรงส่งสำคัญมาจาก “ภาคท่องเที่ยว” และ “การบริโภคภาคเอกชน” คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะมาเยือนไทย 28.3 ล้านคนในปีนี้ จากความต้องการท่องเที่ยวไทยที่ยังมีอยู่มาก ประกอบกับอานิสงส์จากการยกเลิกมาตรการโควิดเป็นศูนย์ของจีนเร็วกว่าคาด ทำให้คาดว่านักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางเข้าไทยไม่ต่ำกว่า 4 ล้านคน ส่งผลดีต่อธุรกิจในห่วงโซ่อุปทานการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม สายการบิน บริษัททัวร์รถเช่า สปาและเวลเนส การแพทย์ รวมถึงเอื้อให้การโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมของชาวต่างชาติขยายตัวมากขึ้น อีกทั้ง การท่องเที่ยวในประเทศสามารถเติบโตดีกลับไปใกล้ระดับก่อนเกิดโควิด-19 ทำให้การบริโภคขยายตัวต่อเนื่อง
*** ปิดท้ายกันที่...จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ของไทย ได้จะนำทัพเดินทางไปเยือนกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ในระหว่างวันที่ 25-26 ม.ค.นี้ เพื่อเร่งเจรจา FTA ไทย-สหภาพยุโรป (อียู) โดย FTA ไทยกับสหภาพยุโรปเป็นเรื่องคาดหวังกันมายาวนานแต่ยังไม่บรรลุผล แต่ติดขัดเรื่องการเจรจาช่วงตั้งแต่ปี 2557 ขณะนี้มีแนวโน้มที่ดีและมีโอกาสเป็นไปได้ที่จะเริ่มต้นการเจรจาอย่างเป็นทางการ ซึ่ง FTA ไทย-อียู อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตอันใกล้นี้ ทั้งนี้ FTA ไทย-อียู เป็น FTA ที่ภาคเอกชนมีความประสงค์ และต้องการมานานแต่ยังไม่บรรลุผล ถ้าประสบความสำเร็จจะช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างไทยกับสหภาพยุโรปได้มากขึ้น โดยเฉพาะโอกาสทางการค้าการส่งออกสินค้าไปยังประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปจะมีตัวเลขที่ดีขึ้น เป้าหมายภาษีระหว่างกันเป็นศูนย์ ทำให้ได้แต้มต่อประเทศคู่แข่งที่ไม่มี FTA กับอียู 27 ประเทศ โดย รมว.พาณิชย์ บอกว่า จะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อเป็นการสร้างอนาคตให้กับประเทศต่อไป …รอดูกันไปว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่