ในทุกมิติของวิกฤติ มีทั้งโจทย์ที่เป็นความท้าทายใหม่สำหรับผู้ประกอบการให้ฟันฝ่า และช่องว่างทางโอกาสที่ซ้อนอยู่มากสำหรับรายที่มีความพร้อม โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่เผชิญมาแล้วทุกวิกฤติ ทั้งเศรษฐกิจ, น้ำท่วม, ความข้ดแย้งทางการเมือง และโรคระบาด พบบริษัทที่มีความแข็งแกร่ง ไร้ปัญหาสภาพคล่องทางเงิน มักไปต่อได้เร็ว ท่ามกลางความระแวดระวังของผู้ประกอบการอื่นๆ ที่ถอดใจพับแผนเปิดโครงการใหม่ เพิ่มโอกาสกินส่วนแบ่งของตลาดได้มากยิ่งขึ้น คราวนี้ก็เช่นกัน แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ก่อให้เกิดภาวะช็อกของเศรษฐกิจ อาจติดลบ 5.6% อสังหาฯ คงเลี่ยงผลกระทบได้ยาก แต่ด้วยการปรับตัวที่ถูกและไวของผู้ประกอบการก่อนหน้า เทกระจาดของพร้อมอยู่ ดัมพ์ราคาต่ำสุดในรอบ 8 ปี ทำให้บางบริษัทยังสามารถสร้าง New high ในแง่ยอดขายได้ ทั้งนี้ ตลาดที่น่าจับตาถึงการแข่งขันมากสุด หลังโควิด-19 เปลี่ยนพฤติกรรมผู้ซื้อ และตอกย้ำเรียลดีมานด์ คือ ตลาดแนวราบ ซึ่งประเมินจากแผน 14 บริษัทใหญ่ จะมีมูลค่าเปิดตัวรวมกันมากกว่า 2 แสนล้านบาท ขณะภาพการรุกของรายใหญ่ในช่วงไตรมาส 2 มีความชัดเจน แข่งขันมากขึ้นรายวัน ภายใต้เป้าหมาย ผู้นำตลาดชิงดีมานด์ลูกค้ามีความพร้อม
เริ่มที่ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ที่เปิดแผนรุกตลาดแนวราบ รับ New Normal ผ่านการเปิดเซ็กเมนต์ใหม่ นำร่องโครงการ “ศุภาลัย พาร์ควิลล์ รังสิต คลอง 4” บ้านเดี่ยวมูลค่ากว่า 2,100 ล้านบาท โดยนายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการบริษัท ระบุว่า บริษัทเริ่มเห็นสัญญาณการหักหัวกลับของตลาดอสังหาฯ แล้ว หลายกิจกรรมทางสังคมและเศรษฐกิจกลับมาคล้ายภาวะปกติ เหลือเพียงการฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ที่ต้องอาศัยระยะเวลาอยู่บ้าง ซึ่งแม้ปี 2563 คงไม่ใช่ปีที่สดใสของตลาดอสังหาฯไทย เพราะคาดจำนวนโครงการเปิดใหม่ โดยเฉพาะตลาดคอนโดฯ คงเหลือการเปิดตัวใหม่ ไม่ถึงจำนวน 3 หมื่นหน่วยเท่านั้น เข้าสู่โหมดพักฐานปรับสมดุลเป็นระยะ 1-2 ปี ส่วนตลาดแนวราบ ซึ่งได้รับผลกระทบน้อยกว่า ยังไปได้ แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ไม่เอื้อ อาจทำให้การเปิดตัวโครงการตลอดทั้งปี ลดลงประมาณ 20-30% อย่างไรก็ตาม ยังมีดีเวลอปเปอร์อีกหลายราย ไม่ได้รับผลกระทบจากยอดขายหรือรายได้ที่ลดลง โดยเฉพาะรายที่มีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง สามารถเดินหน้าเปิดโครงการได้ต่อ ท่ามกลางรายกลาง-รายเล็ก กระทบพับโครงการคืนเงินลูกค้า
ซึ่งบริษัทกำลังให้ความสนใจในกลุ่มโครงการแนวราบ หลังจากพบวิกฤติโควิด-19 ไม่ได้สร้างผลกระทบต่อหน้าที่การงาน ของกลุ่มมนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของตลาด 70% อีกทั้ง ตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พบจำนวนลูกค้าวอล์กอินเข้าเยี่ยมชมโครงการใกล้เคียงช่วงเวลาปกติ สะท้อนถึงความต้องการที่ยังมีอยู่มาก มองหาโครงการสร้างเสร็จพร้อมโอนฯ ทำให้บริษัทคงยังเดินหน้าตามแผนเปิดโครงการใหม่ในกลุ่มแนวราบ 25 โครงการ มูลค่า 19,200 ล้านบาท
“คนบอก สถานการณ์แบบนี้ต้องเลื่อนเปิดโครงการ แต่เรามองว่าควรต้องเร่งสร้างมากกว่า เพราะเดิมบางคนอยู่อพาร์ตเมนต์ ก็ต้องการย้ายมาอยู่ทาวน์โฮม บ้านเดี่ยว ในอัตราเร่งด้วยซ้ำ หลายครอบครัวรีบโอนเข้าอยู่แม้ไม่มีเฟอร์ฯในบ้าน และแม้แนวราบจะมีความน่าสนใจ การแข่งขันในรายใหญ่มีมากขึ้น แต่หลายบริษัทลดการเปิดตัวลง เพิ่มโอกาสในการขายให้กับบริษัทที่พร้อม เก็บเกี่ยวยอดขายใหม่ กินมาร์เก็ตแชร์สูงขึ้น”
ด้านบมจ.เอพี (ไทยแลนด์) ซึ่งประกาศก่อนหน้า ว่าปี 2563 นั้น บริษัทจะบุกพัฒนาโครงการแนวราบเป็นหลัก หลังจากยอดขาย ในปีที่ผ่านมาสามารถสร้างท็อปฟอร์มรับรู้รายได้สินค้าบ้านเดี่ยวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขยับขึ้นสู่หลัก 1 หมื่นล้านบาท เป็นผู้นำตลาดในหลายกลุ่มระดับราคา ซึ่งล่าสุด 4 เดือนแรกของปี (ม.ค. - เม.ย.) สามารถสร้างยอดขายในกลุ่มแนวราบได้แล้วมากถึง 6.9 พันล้านบาท เผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าการแข่งขันในตลาดแนวราบปีนี้ มีความท้าทายอยู่มาก เนื่องจากโควิด-19 ได้เข้ามาเป็นตัวเร่งให้ผู้ประกอบการมีการปรับแผนธุรกิจ มุ่งเน้นที่การสร้างรายได้ระยะสั้นและควบคุมรายจ่าย รวมถึงความเข้มข้นของผู้ประกอบการต่างจัดแคมเปญโปรโมชันต่างๆ ออกมาแข่งขันในตลาด โดยเฉพาะเซ็กเมนต์กลางถึงบน
“ดีมานด์ลูกค้าแนวราบ เป็นลูกค้าตัวจริงในตลาด ยังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ๆ สะท้อนจากยอดขายสุทธิต่อสัปดาห์ไม่ต่ำกว่า 380 ล้านบาท เราเองแม้ไม่ชัดว่าสถานการณ์โควิด-19 จะจบลงเมื่อไหร่ แต่มองว่าทุกวิกฤติคือโอกาส หวังรักษาความเป็นเบอร์ 1 ผู้นำตลาดบ้านเดี่ยว”
ขณะ บมจ. แสนสิริ ที่สร้างปรากฏการณ์ให้ตลาดทั้งในแง่ยอดขาย และขึ้นแท่นบริษัทที่มีสภาพคล่องสูง ผ่าน Cash Flow เงินหมุนเวียนในบริษัทถึง 1 หมื่นล้านบาท ประกาศลั่นไกเมื่อตลาดพร้อมนั้น นายอาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” เช่นกันว่า บริษัทได้เดินหน้ารุกสู่เป้าหมายผู้นำตลาดแนวราบ เพื่อตอบรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ ด้วยการวางแผนเปิดตัวโครงการแนวราบในปีนี้ จำนวนทั้งสิ้น 12 โครงการ มูลค่ารวม 15,200 ล้านบาท ซึ่งในไตรมาส 2 เตรียมเปิดโครงการทาวน์โฮมใหม่จำนวน 2 โครงการ เช่น โครงการสิริ เพลส ประชาอุทิศ 90 โฟกัสในตลาดกลุ่มใหญ่ที่มีดีมานด์ (Mass Market) ของคนที่อยากมีบ้านหลังแรก ขณะเดียวกัน พร้อมรักษาความเป็นผู้นำในแบรนด์ระดับบน เพื่อรับกลุ่ม New Demand กลุ่มลูกค้าต้องการมีบ้านใหม่ แยกครอบครัว หรือบ้านที่มีพื้นที่กว้างขี้น รวมทั้งโครงการในแนวคิดใหม่ เพื่อตอบโจทย์ insights ของลูกค้าเฉพาะกลุ่มมากขึ้นอีกด้วย
หน้า 19-20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,576 วันที่ 21-23 พฤษภาคม 2563