ตลาดโรงแรมไทยเปลี่ยน ลุยเสริม "สุขอนามัย"รับเทรนด์ใหม่

07 ก.ค. 2563 | 04:48 น.
อัปเดตล่าสุด :07 ก.ค. 2563 | 11:58 น.

แม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 จะดีขึ้น แต่ยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในหลายภาคส่วน ขณะ ซีบีอาร์อี คาดธุรกิจโรงแรมจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชี้เจ้าของ ปรับกลยุทธ์ เน้นให้ความสำคัญด้านสุขอนามัยปลอดไวรัส การจัดการร้านอาหารรูปแบบใหม่ และการปรับเปลี่ยนด้านการออกแบบ หวังเปรียบบ้านหลังที่ 2 รับนักท่องเที่ยว

ในปัจจุบัน ภาคธุรกิจบริการ มีทั้งการปรับเปลี่ยน และการเปลี่ยนแปลง อย่างเต็มรูปแบบ ของผู้ให้บริการบางราย นายอรรถกวี ชูแสง หัวหน้าแผนกธุรกิจโรงแรม ซีบีอาร์อี ประเทศไทย ให้ความเห็นว่า “ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ตลาดโรงแรมจึงเป็นหนึ่งในตลาดอสังหาริมทรัพยที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในช่วงโควิด-19 เราเห็นผู้พัฒนาโรงแรมและเจ้าของโรงแรมขนาดใหญ่หลายรายในไทยที่ปกติแล้วต้องพึ่งพาลูกค้าต่างชาติ จำเป็นต้องปิดโรงแรมเป็นการชั่วคราว เนื่องจากไม่สามารถสร้างรายได้ได้แม้จะหันไปมุ่งที่ตลาดนักท่องเที่ยวในประเทศแล้วก็ตาม   ในขณะเดียวกัน เจ้าของโรงแรมต่างพยายามเรียกคืนความมั่นใจของผู้เข้าพักด้วยมาตรฐานสุขอนามัยที่ได้รับการรับรอง รวมถึงเพิ่มข้อกำหนดและมาตรการต่างๆ ด้านสุขภาพและความปลอดภัย”

“สำหรับผู้เข้าพักและเจ้าของโรงแรม ซีบีอาร์อีเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการพัฒนาไปในทางที่ดี   ในทางหนึ่งโรงแรมควรสะท้อนภาพความเป็น 'บ้านหลังที่สอง' ไม่ว่าจะในระยะสั้นหรือระยะยาว และในขณะที่สถานที่ทั่วไปเริ่มผ่อนคลายมาตรการ แต่โรงแรมยังควรมีมาตรฐานเรื่อง สุขอนามัย และความสะอาดที่ให้ความมั่นใจกับผู้ใช้บริการมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” นายอรรถกวีกล่าว

เพื่อกอบกู้ผลประกอบการของโรงแรมในระยะสั้น เจ้าของโรงแรมในไทยต่างให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าที่เข้าพักว่าโรงแรมของตนนั้นปลอดไวรัสโดยการนำมาตรการใหม่ต่างๆ มาใช้ เช่น การฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับการควบคุมและป้องกันโควิด-19 ตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข และการขอใบรับรองตามมาตรฐาน ISO และโครงการยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย (Amazing Thailand Safety & Health Administration: SHA)   ความร่วมมือกับหน่วยงานด้านการท่องเที่ยว เช่น ตัวแทนท่องเที่ยว สำนักงานการท่องเที่ยว สายการบิน และแหล่งท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการอยู่รอดและการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว  สำหรับการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ โรงแรมที่ได้รับการรับรองด้านสุขภาพ และการเป็นพันธมิตรระหว่างโรงพยาบาลกับโรงแรมจะมีบทบาทสำคัญในการฟื้นตัวของตลาดโรงแรม และจะกลายเป็นแรงผลักดันสำคัญสำหรับแนวคิดการพัฒนาโรงแรมในอนาคต เนื่องจากประเทศไทยมีวัฒนธรรมที่ดีด้านการให้บริการเป็นทุนเดิม ในการรองรับกลุ่มลูกค้าสูงอายุทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ

“ระบบสาธารณสุขที่อยู่ในระดับแนวหน้าส่งผลให้ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะกลายเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการแพทย์ ประเทศไทยยังเป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกในการรับมือกับการระบาดของไวรัส การมีผู้ติดเชื้อลดลงอย่างเห็นได้ชัดในระยะเวลาสั้น' และมียอดผู้เสียชีวิตในอัตราต่ำ ผู้พัฒนาโรงแรมอาจมองว่าเป็นโอกาสที่จะมุ่งเน้นไปที่นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเพื่อรับบริการทางการแพทย์ ซึ่งแม้ว่าเมื่อเร็วๆ นี้ ปริมาณนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวจะชะลอตัวลง แต่ก็มีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2559 การสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับโรงพยาบาลจึงอาจเป็นประโยชน์อย่างมาก” นายอรรถกวีกล่าวเพิ่มเติม

 

 

ในด้านการรับประทานอาหาร นโยบายการเว้นระยะห่างทางสังคมได้ทำให้วิธีรับประทานอาหารในโรงแรมเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดที่นั่งและระยะห่าง และจากปริมาณลูกค้าที่รับประทานอาหารในร้านลดลงในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ร้านอาหารของโรงแรมหลายแห่งต้องแข่งขันกับร้านอาหารอื่นๆ ด้วยบริการจัดส่งอาหารเพื่อสร้างรายได้เพิ่ม   นับตั้งแต่มีมาตรการผ่อนคลาย โรงแรมได้เพิ่มมาตรการด้านความปลอดภัยสำหรับการรับประทานอาหารในโรงแรม เช่น การเว้นระยะห่างระหว่างโต๊ะ และเพิ่มมาตรฐานการเสิร์ฟและเตรียมอาหารให้สูงขึ้น รวมถึงมีแนวคิดการรับประทานอาหารรูปแบบใหม่ๆ เพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มเล็กลงแต่จำนวนหลายกลุ่มมากขึ้น

นายอรรถกวีให้ความเห็นว่า “ตอนนี้ลูกค้าที่เข้าพักมีความระมัดระวังมากขึ้นในเรื่องการเว้นระยะห่างทางสังคมและการติดเชื้อไวรัสจากอาหารที่จัดวางไว้อยู่แล้ว   มีความเป็นไปได้ว่ากลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของโรงแรมจะเน้นไปที่อาหารจานเดี่ยว (á-la-carte),  เซ็ทเมนู,  เชฟเทเบิล   มากกว่าบุฟเฟ่ต์   ถ้าทำได้เป็นอย่างดีและมีความคิดสร้างสรรค์ อาจจะทำให้อาหารมีคุณภาพมากขึ้นและลดปริมาณขยะจากอาหาร"

การเปลี่ยนแปลงในด้านการพัฒนาโรงแรมและการให้บริการยังเป็นส่วนสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของลูกค้าผู้เข้าพัก โดยเริ่มจากการเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการประชุมทางไกลอย่างโปรแกรม Zoom ในห้องพัก หรือแอปพลิเคชั่นอื่นที่คล้ายกัน เพื่อรองรับกลุ่มนักธุรกิจ เจ้าหน้าที่รัฐ และนักลงทุน ซึ่งจะเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับอนุญาตให้เดินทาง  ในด้านของโรงแรมยังมีแนวโน้มที่จะจัดการพื้นที่ส่วนกลางอย่างต่อเนื่องด้วยการพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อบริเวณล็อบบี้ทุกวัน การติดตั้งระบบฟอกอากาศ การตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย และบริการเจลล้างมือและสเปรย์ฆ่าเชื้อโรค

“อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีไร้สัมผัสเต็มรูปแบบ ประตูดิจิตอล การเช็คอินออนไลน์ รวมถึงเทคโนโลยีที่ช่วยฆ่าเชื้อโรคด้วยรังสีอัลตราไวโอเลตและเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ไม่ก่อให้เกิดการรบกวนอาจกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของโรงแรมที่มีแบรนด์ไปจนถึงโรงแรมระดับหรู   นอกจากนี้ การจัดพื้นที่เฉพาะสำหรับการคุยโทรศัพท์จะมีให้เห็นมากขึ้น แต่ยังคงต้องรอดูว่าการออกแบบโรงแรมโดยลดพื้นที่ที่ใช้ร่วมกันจะได้รับการยอมรับหรือไม่ เพราะการสร้างให้เป็นชุมชมหรือสังคมเป็นส่วนที่สำคัญต่อโรงแรมแนวไลฟ์สไตล์และเป็นที่นิยมมาตลอดในช่วงหลายปีนี้    ทั้งนี้ ไม่ว่าจะวางตำแหน่งของโรงแรมอยู่ในระดับใดก็ตาม โรงแรมจะต้องหาจุดสมดุลระหว่างการใช้พื้นที่และมาตรฐานด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยที่สอดคล้องกันในทุกๆ ส่วนของโรงแรม   ทั้งหมดนี้คือการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของลูกค้า” นายอรรถกวีกล่าวสรุป