ปี 2564 ถือเป็นอีกหนึ่งปี ที่ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ประสบความสำเร็จ ท่ามกลาง ความยากลำบากของตลาดอสังหาริมทรัพย์ จากภาพลบสถานการณ์โควิด19 แต่ด้วยการวางกลยุทธ์ กระจายโปรดักส์ แนวราบ ทั้งใน ทำเล กทม.และภูมิภาค
ส่งผลสามารถสร้างยอดขาย ทะลุ 3.1 หมื่นล้านบาท (รวมตปท.) สร้างนิวเรคคอร์ดใหม่ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมาได้ ทั้งที่การเปิดตัวโครงการใหม่ไปไม่ถึงเป้าหมาย จาก 30 โครงการ จบปีเหลือเปิด 23 โครงการ มูลค่า 24,790 ล้านบาทเท่านั้น เมื่อพิจารณาส่วนกำไรสุทธิ รอบ 9 เดือน ชื่อของศุภาลัย ยังคงอยู่ในอันดับต้นๆของตารางอีกด้วย
ส่วนมุมมองต่อภาคธุรกิจอสังหาฯในปี 2565 นั้น บิ๊กอสังหาฯระดับตำนาน อย่าง 'นายประทีป ตั้งมติธรรม' ประเมิน ภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อคนไทย ยังไม่กลับมาง่ายๆ อีกทั้งตลาดหลัก ยังมีปัจจัยลบรุมเร้า ฉะนั้น แผนธุรกิจเดิม จะถูกเปลี่ยนแนวทางใหม่ ไปสู่ การรุกตลาดภูมิภาคมากขึ้น ,บ้านใหญ่ที่เป็นได้ทั้งการอยู่อาศัยและพักตากอากาศ พร้อมๆกับการขยายการลงทุนในต่างประเทศ
ตลาดปี2564ต่่ำสุดในรอบ 10ปี
นายประทีป ย้อนภาพการฝ่าฝันมรสุมปี 64 ว่า แม้ภาพรวมปีที่ผ่านมา ดูจะไม่หนักหนาสาหัสมากนัก และดีขึ้นกว่าปี 63 แต่ในแง่ภาพรวมการเปิดตัวโครงการใหม่ ทั้งแนวราบ และ คอนโดมิเนียมทั่วประเทศ (ข้อมูล : AREA) ลงสู่จุดต่ำสุดในรอบ 10ปี รวม 2 ตลาด ยอดขายเฉลี่ยอยู่ที่ 63% โดยคอนโดฯ จากโอเวอร์ซัพพลายเก่า - เปิดน้อยลงมาก ส่งผลมียอดขายคงที่เท่าปี 63 ขณะแนวราบ ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
" อสังหาฯในปี 64 ขยายตัวเล็กน้อยจากปี 63 เนื่องจากโควิด ทวีความรุนแรง ผู้ประกอบการ ชะลอการเปิดโครงการใหม่ คอนโดฯหนัก ส่วนบ้านเดี่ยวยอดขายทรงตัว แม้จะอยู่ในช่วงวิกฤต"
ประชากรน้อย - รายได้ต่ำ ข้อจำกัดตลาดโต
ส่วนปีนี้ เชื่อมั่นว่าการฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯจะเป็นไปในทิศทางบวก ด้วยเรียลดีมานด์จากผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง อย่างไรก็ตาม ปัจจัยด้านเศรษฐกิจของไทยยังคงส่งผลต่อการฟื้นตัวของตลาด รวมถึงปัจจัยลบอื่นๆที่ต้องเฝ้าระวัง ประเมินจำนวนที่อยู่อาศัยของไทย สัมพันธ์กับจำนวนประชากรในประเทศ แต่ ณ วันนี้ ไทยยังอยู่ที่ 70 ล้านคน เกิดใหม่น้อย ส่วนผู้สูงอายุอยู่นานขึ้น เทียบกับประเทศอาเซียนด้วยกัน อย่างฟิลิปินส์ ,อินโดนีเซีย 100-200 ล้านคน ทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยไทยโตแบบมีข้อจำกัด ขณะรายได้คนในประเทศ กลุ่มใหญ่ยังมีรายได้ปานกลางไปค่อนน้อย แบกหนี้สูง กู้สินเชื่อผ่านยาก
ในฝั่งผู้พัฒนาฯ ยังเผชิญกับราคาที่ดินที่แพงขึ้น แม้เศรษฐกิจย่ำแย่ แต่คนถือครองที่ดินไม่ปล่อย ,ที่ดินมีจำกัดและมีแนวโน้มราคาสูงขึ้นในทุกทำเล รวมถึงขณะนี้ยังมีปัญหาต้นทุน ค่าก่อสร้าง ,แรงงาน ,วัสดุ เหล็ก - ซีเมนต์ และ น้ำมัน ราคาถีบตัวขึ้นอีก ทำให้มีแนวโน้มที่บ้านจะแพงขึ้น ยกเว้นบริษัทที่มีต้นทุนที่ดินเก่า
"มองภาพใหญ่มีปัจจัยข้อจำกัดต่อการเติบโตของตลาดที่อยู่ฯไทยมาก โดยเฉพาะ รายได้ของคนในประเทศ เงินเดือนกระจุกตัวต่ำกว่า 3 หมื่นบาท สวนทางกับบ้านที่คงจะมีราคาแพงขึ้น จากปัจจัยเรื่องที่ดินราคาสูงต่อเนื่อง อย่างต่ำปีละ5% มีข้อดีอย่างเดียว คือ ดอกเบี้ยต่ำ ที่อาจส่งเสริมให้ซื้อได้ง่ายขึ้น"
บุกหนักตลาดภูมิภาค
ผู้ก่อตั้งศุภาลัย ยังกล่าวว่า การท่องเที่ยวที่ยังคงหายไป คงส่งผลให้เศรษฐกิจและกำลังซื้อไม่สามารถกลับมาปกติได้ในระยะสั้น ทำให้บริษัทต้องปรับตัว ไปสู่การทำบ้านจัดสรร กระจายออกไปภูมิภาคมากขึ้น ตามทำเลแหล่งงาน, สถานศึกษา, สนามบิน และศูนย์การค้า ซึ่งมีชีวิตความเป็นอยู่ใกล้เคียง กทม. หลังจากโควิด ก็ทำให้คนย้ายกลับไปอยู่ทำเลในเมืองต่างจังหวัด มีความคึกคักทั้งดีมานด์ และซัพพลาย ตามแนวโน้ม บ้านราคาสูงขึ้น , บ้านแนวดิ่งหลายชั้นมากขึ้น ,บ้านจัดสรรตากอากาศ และ บ้านเพื่อผู้สูงอายุ นั่นคือโอกาส
สำหรับแผนปี 2565 ศุภาลัย วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 34 โครงการ มูลค่ารวม 4 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น โครงการบ้านต่างจังหวัด 18 โครงการ ,กทม.-ปริมณฑล 13 โครงการ ,คอนโดฯ กทม.และต่างจังหวัด รวม 3 โครงการ รวมโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย 159 โปรเจ็กต์ ครอบคลุม 24 จังหวัด ปีนี้เจาะใหม่ 5 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ลำพูน นครสวรรค์ นครปฐม และ ประจวบคีรีขันธ์
ปราบเซียนไทย - ตปท.
อย่างไรก็ตาม นายประทีป ระบุ การทำอสังหาฯในภูมิภาค ถือเป็นเรื่องปราบเซียน พบมีหลายบริษัทใหญ่ ไปแล้วขายไม่ออก ,บางโครงการเมื่อเปิดขาย ยอดไม่ถึงก็ต้องคืนเงินลูกค้าปิดโครงการไป แต่สำหรับศุภาลัย จากชื่อเสียงที่เป็นที่ยอมรับ และมีประสบการณ์กลับเป็นโอกาส และปีนี้ จะนำแนวคิดด้านนวัตกรรม ตอบโจทย์ชีวิตยุคใหม่ ,แบรนด์ใหม่ ,รูปแบบโครงการที่ใหญ่มากกว่า 100 ไร่ มีความสมบูรณ์แบบมากขึ้น หรือ แม้กระทั่ง บ้านราคาถูก เพื่อให้เหมาะคนทำงานที่บ้าน และบ้านรูปแบบตากอากาศจะถูกปรับให้ชัดขึ้น เช่น ที่ แม่ริม - เชียงราย และ ชะอำ-หัวหิน เป็นต้น
อีกด้าน ยังจะเดินหน้าขยายการลงทุนในต่างประเทศ เช่น ออสเตรเลีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และ เวียดนาม เพื่อกระจายความเสี่ยง ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขาย 2.8หมื่นล้านบาท และรายได้ 2.9หมื่นล้านบาท
บริษัทฯยังเปิดตัวแบรนด์บ้านใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า โดยทะยอยเปิดตัวตั้งแต่ปลายปี 2564 แล้วถึง 4 แบรนด์ ซึ่งออกสตาร์ทกับโครงการแรกของปี 2565 กับแบบบ้านเดี่ยวใหม่ล่าสุด 3 แบบ 3 สไตล์ ระดับลักซ์ชูรี่ ปักหมุดทำเลแรกบนถนนบรมราชชนนี “ศุภาลัย เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี121” โดยหวังเป็นทางเลือกแรกของบ้านเดี่ยว 3 ชั้น เจาะกลุ่มลูกค้าระดับบนในทำเลดังกล่าว