ปี 2565 ถือเป็นบันไดขั้นแรก การฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยไทย ก่อนคาดจะกลับมาเทียบเท่าสถานการณ์ปกติ ในช่วงปี 2567 อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กำลังถูกหลายปัจจัยท้าทายจากความผันผวนของโลก และความเสี่ยงกระทบซ้ำฐานการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างน่าจับตามอง
เศรษฐกิจไทย เฝ้าระวัง 5 ปัจจัยเสี่ยง
นาย วิชญายุทธ บุญชิต รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ยอมรับ ว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ มีความเปราะบางสูง จากเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ที่วางไว้ 3.5 - 4.5% และกรอบเงินเฟ้อ 1.5-2.5% เนื่องจาก ขณะนี้เผชิญกับปัจจัยเสี่ยงหลัก 5 เรื่อง ได้แก่
โดยเฉพาะประเด็นความผันผวนของโลก และสงคราม ส่งผลให้ขณะนี้ราคาน้ำมัน ,ราคาสินค้า เปลี่ยนแปลงสูงสุด จนน่ากังวลต่อเศรษฐโลก สิ่งที่ท้าทายกลับเป็นพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย ที่ยังไม่แข็งแกร่งดีพอ จากภาพการฟื้นตัว 1.6% ในปี 2564 แบบตัว K (ไม่เท่าเทียม) พบภาคท่องเที่ยวและบริการ ยังเป็นจุดอ่อน ขณะโควิด-19 ทิ้งร่องรอยทางเศรษฐกิจมากมาย ทั้ง ภาคธุรกิจ ครัวเรือน และภาครัฐ เกิดภาพ หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นหลายประเทศ จะกดดันต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ส่วนภาคอสังหาฯ ผู้ประกอบการเริ่มกังวล จากภาวะต้นทุนการพัฒนาสูงขึ้น และอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มขยับ
"สิ่งที่เศรษฐกิจไทยต้องเฝ้าระวัง คือ แรงกระแทกต่อการปรับนโยบายการเงินของสหรัฐ หากดีเดย์ปรับดอกเบี้ยขึ้น แต่เงินเฟ้อไม่ลด เศรษฐกิจโลกจะหดตัวรุนแรง ซ้ำเติมการเล่มเกมใหม่ๆของคู่ขัดแย้ง กระทบห่วงโซ่การส่งออกของไทย ส่วนโควิดถ้าไม่จบ ภาคท่องเที่ยวไม่ฟื้น อาจฉุดจีดีพีไทยลด 0.5% "
ที่อยู่อาศัยขายใหม่ขยับ 16.1% เตือนทาวน์เฮ้าส์พุ่ง
เจาะตลาดที่อยู่อาศัย กทม.-ปริมณฑล นาย วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ระบุ ว่า ปีนี้ยังต้องประเมินการฟื้นตัว จากการขยายตัวของ จีดีพี , อัตราเฉลี่ยของดอกเบี้ย MRR และผลกระทบเชิงนโยบายและสถานการณ์ที่สำคัญ เช่น อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ค่าแรง ,ค่าวัสดุก่อสร้าง ,รายได้ของผู้คน และ อัตราดูดซับบ้านจัดสรร และคอนโดมิเนียม โดยประเมินร่วมว่ายังไม่กระทบรุนแรง แต่หากสถานการณ์เปลี่ยน ตัวเลขในแง่ต่างๆ อาจหดตัวลงราว 10%
เบื้องต้น คาดจะมีที่อยู่อาศัยขายได้ ราว 77,222 หน่วย เพิ่มขึ้น 24.7 % มูลค่า 346,389 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.1 % โดยเฉพาะโครงการบ้านจัดสรร ส่วนคอนโดฯ จะเพิ่มขึ้น 40.1 % แต่สิ่งที่ท้าทาย คือ จำนวนหน่วยเหลือขาย REIC คาด ณ สิ้นปี 2565 จะมีหน่วยเหลือขาย160,472 หน่วย มูลค่า 762,810 ล้านบาท โดยเฉพาะการเร่งตัวของสต็อกกลุ่มทาวน์เฮ้าส์ จากแผนเปิดตัวใหม่ และโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา หรือ สร้างเสร็จแล้วแต่ยังขายไม่ออก รวมถึงหากโควิค 19 ลุกลามจนต้องล็อกดาวน์ อสังหาฯคงไม่กระเตื้องเท่าที่ควร ระวังบ้านมือสองทดแทนบ้านใหม่
เสนาฯ - บริทาเนียรับมือต้นทุน
ทั้งนี้ ในแง่การปรับตัวของผู้ประกอบการ นางสาว เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ยอมรับว่า ขณะนี้ ผู้ประกอบการ กังวล กับภาวะวิกฤติ ที่ต่างไปจากทุกครั้ง เนื่องจากในอดีต เวลาเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจ หรือ อื่นๆ มักทำให้ราคาของสินค้าตกลง , คนซื้อน้อยลงจากเศรษฐกิจไม่ดี ขณะเดียวกัน ต้นทุนก็จะลดลงตามไปด้วย เป็นโอกาสการซื้อตุน ไว้เพื่อรองรับการกลับมาเติบโต แต่วิกฤติโควิดครั้งนี้ ทำลายทฤษฎีข้างต้นลง ซึ่งอสังหาฯ เผชิญกับต้นทุนเพิ่มขึ้น ทั้งในแง่แรงงาน และ วัสดุก่อสร้าง ที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันโลก เช่นเดียวกับปัญหาขาดแคลนแรงงาน และค่าจ้างพุ่ง ทั้งการพัฒนาบ้านและคอนโดฯ อย่างไรก็ตาม พบว่า เรียลดีมานด์ (การซื้อที่อาศัยเพื่ออยู่จริง) ยังพอมี ทำให้ผู้ประกอบการปรับตัว และขายได้ต่อ แต่แนะให้ระวังต้นทุน และกระแสเงินสดมากเป็นพิเศษ
เช่นเดียวกับ นาง ศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บริทาเนีย ระบุว่า บริษัทยังสามารถเติบโตได้โดดเด่น ในกลุ่มแนวราบราคาแพง สะท้อนความต้องการของเรียลดีมานด์ โดยกุญแจความสำเร็จ คือ การปรับโปรดักส์ทั้งในและนอกบ้าน เพื่อรองรับวิถีใหม่ของผู้คน พร้อมปรับเปลี่ยนการตลาดไปสู่ออนไลน์เป็นหลัก ปี 2565 เปิดใหม่ 9 โครงการ 10,800 ล้านบาท