บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด บริษัทด้านวิจัยและพัฒนาในเครือบริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยข้อมูล ล่าสุดว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเขต กทม.และปริมณฑล ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 มีอัตราเร่งอย่างน่าสนใจ โดยจำนวนหน่วยเปิดขายใหม่ เติบโตสูงถึง 121% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นภาวะสวนทางต่อเศรษฐกิจภาพรวมที่ได้รับผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อ
อสังหาเดือดสวนเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ ลุมพินี วิสดอมฯ ฉายภาพว่า ตั้งแต่ ม.ค-มิ.ย. ผู้ประกอบการมีการเปิดตัวโครงการใหม่รวมทั้งสิ้น 163 โครงการ รวม 51,946 หน่วย มูลค่า 188,373 ล้านบาท
ขณะ เป็นการเปิดตัวโครงการบ้านพักอาศัยถึง 115 โครงการ จำนวนมากถึง 21,367 หน่วย หรือ มูลค่า 110,295 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% และ 48% ตามลำดับ ภายใต้อัตราการขาย เฉลี่ย 12% ต่อโครงการต่อเดือน
"แม้เงินเฟ้อไทยแตะระดับ 7.66% สูงสุดในรอบ 13 ปี ทำให้ราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้นไม่น้อยกว่า 5% แต่พบผู้ประกอบการอสังหาฯ ยังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง "
เช็กแนวรบเบอร์ใหญ่ 'เอพี'
เมื่อดีมานด์ ความต้องการที่อยู่อาศัย เพื่อใช้เป็นหลุมหลบภัยภายใต้สถานการณ์โควิด-19 และประสงค์แง่พื้นที่ เพื่อใช้เรียน -ทำงาน อีกทั้ง 'บ้าน' ได้กลายเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ที่คุ้มค่าต่อการลงทุนในยามเงินเฟ้อ ทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ของตลาด ใช้โอกาสนี้เป็นจังหวะเร่ง สร้างฐานลูกค้า และเก็บตวงรายได้ระยะสั้น เพิ่มการเติบโต
เจาะมูฟเม้นท์ ผู้เล่นในตลาด บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งขณะนี้ กลายเป็น แชมป์ครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด ในตลาดบ้านเดี่ยว จากยอดขาย ครึ่งปีแรกโตกว่า 20,570 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 25% แล้วนั้น
ล่าสุด ประกาศ เดินหน้าเปิดโครงการบ้านเดี่ยวอีก 18 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 24,030 ล้านบาท ความน่าสนใจ คือ กลยุทธ์ความหลากหลายของสินค้า เตรียมเปิดบ้านเดี่ยวราคา 3-5 ล้าน ผ่านแบรนด์ใหม่ ‘MODEN’ หลังจากมองว่า บ้านเดี่ยวเซกเม้นท์นี้ เป็นอีกตลาดที่น่าสนใจ ซัพพลายที่เกิดขึ้นจากดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ยังมีไม่มาก ขณะลูกค้าหลักสำคัญกลุ่ม Gen M และ Gen Z ในโซนปริมณฑล คือ กลุ่มกำลังซื้อใหญ่ของตลาด ควบคู่กับ แผนการผลักดันแบรนด์แข็งแกร่ง THE CITY ในอีก 6 ทำเล และ แบรนด์ CENTRO ซึ่งทั้งหมดจะทำให้ เอพีขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของตลาดบ้านเดี่ยว จากจำนวนโครงการที่เปิดเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า ปูพรมทุกพื้นที่มากกว่า 50 โครงการ
แสนสิริหวนเปิด 'นาราสิริ'รอบ10ปี
ขณะ นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ บมจ. แสนสิริ เผยว่า ขณะนี้เป็นโอกาสในการผลักดันแผนธุรกิจจากดีมานด์และทิศทางตลาดอสังหาฯ ในอนาคต ซึ่งบริษัท มีจุดแข็ง เน้นกลยุทธ์ Speed to Market โดยในแผนธุรกิจครึ่งปีหลังเปิดตัวใหม่ 31 โครงการ มูลค่ารวม 31,200 ล้านบาทนั้น จะใช้โครงการบ้าน ซึ่งกระจายหลายทำเลและระดับราคา เป็นส่วนผลักดันการเติบโต โดยเฉพาะการรักษา การเป็นผู้นำในกลุ่มโครงการระดับลักชัวรี่ และซูเปอร์ลักชัวรี่
ความน่าตื่นเต้นของแผนงานแสนสิริ ยังมาพร้อมกับการหวนกลับมาเปิดโครงการระดับมาสเตอร์พีซ ในรอบ 10 ปี ผ่าน แบรนด์ “NARASIRI” (นาราสิริ) ถึง 2 โครงการใหม่ ได้แก่ “นาราสิริ พหลฯ – วัชรพล” และ “นาราสิริ กรุงเทพกรีฑา”ซึ่งล่าสุดมีข้อมูลว่า โครงการเฟล็กซิฟ 'นาราสิริ กรุงเทพกรีฑา' มียอดขายล่วงหน้าแล้วกว่า 50% มูลค่ารวมกว่า 3,500 ล้านบาท แม้จะมีราคาขายต่อหลังสูงถึง 50-95 ล้านบาทก็ตาม
ศุภาลัย - เอสซี ลุยชิงแชร์
ด้าน บมจ.ศุภาลัย พบความเคลื่อนไหวรายสัปดาห์ ตามแผน ปี 2565 เปิดใหม่ 34 โครงการ (บ้านและคอนโดฯ) มูลค่า 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งกลยุทธ์ การคือ รุกขยายในทำเลแข็งแกร่ง โซนรอบนอก กทม.ฮับของตลาดบ้าน ล่าสุด เปิดไฮไลท์ 'บ้านประหยัดพลังงาน' ศุภาลัย วิลล์ วงแหวน ลำลูกกา คลอง 7 มูลค่า เดินเกมเจาะตลาดบ้านเดี่ยวที่มีดีมานด์รองรับ ทำเลศักยภาพ ใกล้แหล่งงาน หลังจากหลายโครงการก่อนหน้าของบริษัท สามารถปิดการขายไปแล้วหลายโครงการ ซัพพลายเหลือไม่มากนัก โดยเฉพาะในเซกเม้นท์เริ่มราว 5 ล้านบาท
เช่นเดียวกับ บมจ.เอสซี เอสเสท ซึ่งประกาศชิงมาร์เก็ตแชร์ในตลาดบ้านเดี่ยวทุกเซกเม้นท์ เร็วๆนี้ เตรียมบุกหนัก เปิดโครงการบ้าน แบรนด์ นิว ไอดี ดีไซน์ใหม่อีก 4 ทำเล ซึ่งเป็นกลุ่มบ้านระดับราคา 5-10 ล้านบาท ที่ใช้เจาะลูกค้าคนรุ่นใหม่ ผ่านพื้นที่รองรับกิจกรรม และไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าอีกด้วย
ทั้งนี้ ย้อนไปก่อนหน้าไม่กี่วัน ตลาดอสังหาฯ เกิดคู่แข่งที่น่ากลัวรายใหม่ หลังจากกลุ่ม บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา ประกาศแผนบุกธุรกิจที่อยู่อาศัย ผ่านแนวคิด 'บ้านเซ็นทรัล' ซึ่งแม้ทิศทางจะพุ่งเป้าไปที่หัวเมืองหลักต่างจังหวัด ตามแผนพัฒนาห้างสรรพสินค้าของบริษัท อาณาบริเวณเดียวกัน แต่แผนระยะยาวที่จะเริ่มสตาร์ทตั้งแต่ปี 2565 - 2569 จะพัฒนาโครงการเพิ่มใหม่กว่า 50 โครงการ พบจะมีการผลักดันแบรนด์บ้าน NINTA และ NIRATI เข้ามาแข่งขันในตลาดหลักด้วย