การอนุญาตให้ "ต่างชาติซื้อที่ดินในไทย" กลับมาอีกครั้ง ซึ่งกฎกระทรวงให้สิทธิต่างชาติศักยภาพสูง 4 กลุ่ม ถือครองที่ดินได้ไม่เกิน 1 ไร่ โดยต้องลงทุนไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท อย่างน้อย 3 ปี
ถือเป็นการยกร่างจากกฎกระทรวงต่างด้าวซื้อที่ดิน 2545 แก้ไขปรับปรุงกฎกระทรวงการซื้อที่ดินของต่างด้าว ฉบับดังกล่าว ที่ปรับลดเวลาการลงทุนของต่างชาติลงจากกฎหมายเดิมที่กำหนดไว้ 5 ปี เหลือ 3 ปี คำถามที่ตามมาก็คือ ในทางปฎิบัติเเล้ว "ไทยพร้อมแค่ไหน? " วันนี้จะพาไปฟังเสียงจากนักวิชาการ ทีดีอาร์ไอ แต่ก่อนอื่นขออธิบายหลักเกณฑ์ของกฎกระทวงฉบับล่าสุดกันก่อน
ต่างชาติซื้อที่ดิน : เงื่อนไขกฎกระทรวงใหม่ที่ ครม. เห็นชอบ
ไทยพร้อมในทางปฎิบัติแค่ไหน ?
"สิ่งที่น่ากังวลใจคือไทยมีความพร้อมในทางปฏิบัติแค่ไหน รัฐต้องควบคุมให้เกิดประโยชน์ให้สูงที่สุด และปิดช่องโหว่ที่จะเกิดผลเสียต่อประชาชน"
ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) สะท้อนถึงความพร้อมของประเทศหากใช้กฎหมายนี้ เพราะในขณะที่ต่างประเทศ เงินที่จะนำมาลงทุนก็ต้องเป็นเงินที่ขาดสะอาด ไม่ใช่เงินที่มาจากธุรกิจที่ผิดกฏหมาย เป็นการฟอกเงิน และเมื่อนำมาลงทุนแล้วก็ต้องตามต่อว่าคนที่เข้ามาลงทุนได้ดำเนินกิจกรรมอะไรในประเทศที่ก่อให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่ว่าเข้ามาทำธุรกิจสีเทา สีดำ หรือ เข้ามาปั่นเก็งกำไรที่ดิน
สิ่งที่รัฐทำได้ คือ การกำหนดให้ผลดีต่อประเทศเกิดขึ้นสูงที่สุด และจำกัดผลลบต่อประชาชนให้น้อยที่สุด ซึ่งพอจะอธิบายออกมาเป็นข้อๆ สำหรับข้อเสนอ ดังนี้
ขับเคลื่อนประเทศดึงคนต่างชาติหนุนการพัฒนาเศรษฐกิจ
ดร.นณริฏ อธิบายต่อว่า หากมองภาพรวมทางด้านเศรษฐกิจ จะพบว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาสังคมสูงวัย ซึ่งหมายความว่า เด็กเกิดใหม่และคนวัยทำงานจะเริ่มลดลง แรงงานมีอายุมากขึ้นและมีผู้สูงอายุจำนวนมากที่อายุยืนยาวมากยิ่งขึ้น การขับเคลื่อนเศรษฐกิจจึงจะมีความยากลำบากมากยิ่งขึ้นเพราะขาดกำลัง "คน" ในการขับเคลื่อนประเทศนำไปสู่ความต้องการที่จะนำเข้าคนต่างชาติเข้ามาช่วยสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจ
เป้าหมายของนโยบายต่างชาติถือครองที่ดิน 1 ไร่ เป็นหนึ่งในมาตรการเสริมภายใต้ความพยายามที่จะดึงคนต่างชาติเข้ามาในประเทศรวม 4 กลุ่ม ได้แก่ คนที่มีฐานะ คนที่เกษียณอายุที่มีฐานะ แรงงานข้ามชาติ และแรงงานทักษะ ที่หากเข้ามาในประเทศจะเข้ามาเป็นกำลังแรงงาน หรือเป็นผู้บริโภคสินค้าและบริการในประเทศทดแทนคนที่หายไปจากปัญหาสังคมสูงวัยได้ เเต่เมื่อพิจารณาเงื่อนไขการดึงคนต่างชาติเข้ามาในไทยจะพบว่าประเทศไทยใช้มาตรการที่ค่อนข้าง "เบา" เมื่อเทียบกับของต่างประเทศ
การลงทุนในระดับ 40 ล้านบาท หากเทียบกับต่างประเทศแล้วจะพบว่ามีหลายประเทศที่การลงทุนในเงิน 40 ล้านจะได้สิทธิในการเป็นพลเมืองของประเทศด้วยซ้ำ ซึ่งทำให้สามารถถือครองที่ดินได้แบบคนของประเทศนั้นๆ เลย ไม่จำกัดแค่ 1 ไร่แบบในประเทศไทย
ในแง่นี้ทำให้โอกาสที่คนต่างชาติที่ร่ำรวยจะเข้ามาในไทยก็อาจจะไม่จูงใจได้ดีพอ เช่นเดียวกับ แรงงานท้กษะสูงที่การให้ถือครองที่ดินอาจจะไม่ดีเท่ากับการมีตำแหน่งงานที่ดี และการได้รับการสนับสนุนอื่นๆ (เช่น การหางานให้กับคู่ครอง การหาโรงเรียนให้กับลูก) ซึ่งเป็นนโยบายสนับสนุนของประเทศเช่น สิงค์โปร์
ราคาอสังหาฯ จะพุ่งขึ้นหรือไม่
นักวิชาการอาวุโส ทีดีอาร์ไอ ให้ความเห็นว่า การเปิดให้ต่างชาติถือครองที่ดินได้ 1 ไร่ ต้องดูว่ามีคนสนใจเข้ามามากน้อยแค่ไหน หากดูจากข้อมูลในอดีตซึ่งไทยก็ได้เปิดช่องทางนี้มาแล้วเป็น 20 ปีแต่ไม่ค่อยมีคนเข้ามาใช้มากนัก ซึ่งก็พอจะอนุมานได้ว่าหากคนเข้ามาใช้ช่องทางนี้ไม่มาก ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อราคาอสังหาฯ มากนัก แต่หากมีคนเข้ามาใช้จำนวนมากก็อาจจะเกิดปัญหาราคาอสังหาฯแพง ซึ่งในกรณีต่างประเทศก็เจอปัญหานี้เช่นเดียวกัน เช่น นิวซีแลนด์ที่มีคนจีนย้ายถิ่นเข้าไปซื้อบ้านซื้อที่ดินจำนวนมาก
ลูกค้าต่างชาติจะเพิ่มขึ้น? เมื่อปัญหาเศรษฐกิจทั่วโลกซบเซา
มาตรการดังกล่าวจะช่วยให้มีลูกค้าต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างไร เพราะทุกชาติได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจซบเซาทั่วโลก และมาตรการเดิมก็ไม่ได้ส่งผลต่อการซื้อขายจากต่างชาติเท่าใดนัก
"ส่วนตัวมองว่ากลุ่มเป้าหมายคือ คนมีฐานะ มักจะได้รับผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกที่จำกัด เราเข้ามาสู่ช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากโควิด-19 และคนที่มีฐานะจะมีสิทธิในการ shopping เลือกซื้อกิจการที่อ่อนแอเข้าไปเสริมพลัง ดังนั้น กลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรวยน่าจะมี แต่เขาจะเลือกไทยหรือไม่นั่นอีกเรื่องหนึ่ง"