ความผันผวนทางเศรษฐกิจ และความท้าทายรอบด้านส่งผลกระทบกำลังซื้อผู้บริโภค กลุ่มระดับล่าง ฐานตลาดใหญ่ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ประมาณ 80% มีความต้องการที่อยู่อาศัยสูงแต่กำลังซื้ออ่อนแอ และมักถูกปฏิเสธสินเชื่อ ส่งผลให้ ผู้ประกอบการ ปรับแผนการพัฒนาเจาะตลาดกลุ่มบ้านแพงลูกค้าไฮเอนด์ กำลังซื้อนักธุรกิจต่างชาติ เศรษฐีคนไทย กระจายในหลายทำเลโดยเฉพาะโซนตะวันออกกรุงเทพมหานคร เพราะสามารถตัดสินใจซื้อได้ทันที พึ่งพาสถาบันการเงินน้อยหรือซื้อเงินสด ที่สำคัญสามารถซื้อได้มากกว่าหนึ่งหลังขึ้นไป
ขณะความคาดหวังของกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน เดินทางมาไทย แม้ว่า ดีเวลลอปเปอร์หลายค่าย ขยายการลงทุนออกไปยัง หัวเมืองท่องเที่ยว เช่นเชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา แต่ มองว่า อาจเก็บเกี่ยวได้ ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ตาม ที่คาด ไว้ เพราะ นอกจากชาวจีนกลับมาไม่เป็นไปตามเป้าแล้ว เศรษฐกิจจีนยังตกอยู่ในภาวะชะลอตัว อีกด้วย
จึงฟันธงว่า กำลังซื้อจีนอาจไม่เหมือนเดิมเหมือนก่อนเกิดสถานการณ์โควิด แต่สัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์พบว่า จีนยังครองแชมป์โอนฯมากที่สุดในไตรมาส 1ปี 2566 ที่ 1,747 หน่วยหรือ 46.3% รองลงมารัสเซีย 387หน่วย 10.3% จังหวัดชลบุรีโอนมากสุด 1,601หน่วย 42.4% รองลงมากรุงเทพมหานคร 1,423 หน่วย 37.7%
นายวงศกรณ์ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัทพร็อพเพอร์ตี้เพอร์เฟคจำกัด (มหาชน) เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า บริษัทเห็นทิศทางความต้องการตลาดบ้านหรู หรือสินค้ากลุ่มแพง โดยปรับพอร์ตลงทุน โครงการ ตั้งแต่กลางปี 2565 และปีนี้ยังปรับเพิ่มขึ้นในสัดส่วนอีก 35% รองรับความต้องการกลุ่มนักธุรกิจต่างชาติ ทำงานจดทะเบียนนิติบุคคลลงทุนในไทย และประเทศเพื่อนบ้านที่มองไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจการค้าอยู่อาศัย ซึ่งส่วนใหญ่ให้ความสนใจซื้อบ้านแนวราบ ที่มีพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ เน้นความเป็นส่วนตัว เดินทางสะดวก ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งสัดส่วนที่ซื้อโครงการมีมากถึง 40%
ในจำนวนนี้ เป็นจีนแผ่นดินใหญ่และไต้หวัน มากที่สุด 30% อีก 10% เป็นนักลงทุนจากชาติอื่น โดยราคาขายสูงสุดเป็นชาวจีนซื้อไปในราคา 160 ล้านบาทซึ่งเป็นบ้านติดทะเลสาป ที่บริษัทร่วมทุนกับฮ่องกงแลนด์ทำเลกิ่งแก้ว-สุวรรณภูมิ ลงทุนกว่า 6,000 ล้านและยังเปิดขายต่อเนื่อง โดยทำเลติดทะเลสาบ 100 ล้านบาทต่อหลังขึ้นไปไม่ติดทะเลสาบ 30-60 ล้านบาท นอกจากนี้อยู่ระหว่างเปิดโครงการใหม่ แบรนด์มาสเตอร์พีช ปากทางเข้าสนามบิน สุวรรณภูมิ เนื้อที่ 700 ไร่ ราคา 30-80 ล้านบาท ขณะกลุ่มระดับกลางล่าง 7-10 ล้านบาท ติดปัญหาเกี่ยวกับการขอสินเชื่อค่อนข้างมาก และระดับราคาต่ำกว่านั้น ไม่ต้องพูดถึง
ขณะ บมจ.แสนสิริ ผู้นำอสังหาริมทรัพย์ลักชัวรี่ ทำเลกรุงเทพกรีฑา คอมมูนิตี้โครงการที่อยู่อาศัย บนที่ดิน 500 ไร่ ล่าสุด ประสบความสำเร็จปิดการขาย นาราสิริ กรุงเทพกรีฑา โครงการบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ หนึ่งใน “Sansiri Luxury Collection” มูลค่า 6,000 ล้าน บาท ภายใน 1 เดือน สร้างประวัติศาสตร์โครงการบ้านลักชัวรี่ระดับราคา 50 ล้านขึ้นไปที่ขายดีที่สุดและปิดการขายโครงการได้เร็วที่สุดของเมืองไทย สร้างกำไรจากการขายเปลี่ยนมือ สูงถึง 30% ภายในระยะเวลาเพียง 3 เดือน และยังคงมีดีมานด์ความต้องการในทำเลนี้ต่อเนื่อง
ส่งผลให้ปีนี้ แสนสิริ มีแผนเปิดโครงการบ้านหรูต่อเนื่อง แบรนด์บูก้าน 3 โครงการใหม่ ราคาตั้งแต่ 35-115 ล้านบาท ได้แก่ บูก้าน กรุงเทพกรีฑา บูก้าน พัฒนาการ บูก้าน พระราม 9-เหม่งจ๋าย มูลค่าโครงการกว่า 3,600 ล้านบาท นอกจากโครงการ นาราสิริ พหล - วัชรพล ที่อยู่ระหว่างเปิดขาย
นาย อาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบบมจ.แสนสิริ กล่าวว่า แสนสิริ ประสบความสำเร็จพัฒนาแบรนด์ลักชัวรี่ ที่มีกำลังซื้อสูง รสนิยมและไลฟ์สไตล์ที่ชัดเจน
ที่สร้างความฮือฮา ค่ายอัลติจูด เห็นจะเป็น บ้านเดี่ยวริมแม่น้ำเจ้าพระยา ระดับอัลตร้าลักชัวรี่สร้างนิวไฮ ราคาสูงสุด515 ล้านบาท บนพื้นที่ 5 ไร่ทำเลหายาก ย่านคลองสาน เจริญนคร หลังมองเห็นเทรนด์การเติบโตในหลายประเทศที่ยังไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย รวมถึงกลุ่มผู้อยู่อาศัย นักลงทุนและชาวต่างชาติ ที่กำลังมองหาบ้านเดี่ยวระดับอัลตร้าลักชัวรี่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา จำนวนเพียง 11 ยูนิต ใช้งบลงทุน 2,735 ล้านบาท ซึ่งร่วมกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำระดับโลก
ขณะพี่เบิ้มแลนด์แอน์เฮ้าส์ เจ้าตลาดบ้านหรูกระจายในหลายทำเล ล่าสุดเปิดขายโครงการ บ้านมัณฑนา บางนา กม. 15 ราคา 14-30 ล้านบาท ยังไม่รวมทำเลราชพฤกษ์ กรุงเทพกรีฑา ปิ่นเกล้าฯลฯ ที่มีราคา 100 ล้านบาทต่อหลังปิดการขายในเวลาอันรวดเร็ว เช่นเดียวกับ ค่ายเนอวานาพัฒนาโครงการ เนอวานาคอลเลคชั่นกรุงเทพกรีฑาคือโครงการบ้านเดี่ยวหรูระดับ อัลตร้าลักชัวรี่ ราคาเริ่มต้น 80-150 ล้านบาท ที่ได้รับความนิยมสูง ขณะค่ายเอสซีแอสเสท มีแผนลงทุนโครงการบ้านหรูหลายโครงการ
บมจ.พราว ปักหมุดโครงการบ้านหรู “ วี อารีย์” ในซอยอารีย์ 3 มีจำนวน 6 หลัง เริ่มต้นที่ 83 ล้านบาทโดยมีจุดเด่นออกแบบสถาปัตยกรรมโครการที่มีกลิ่นอาย ของย่านดังกล่าว ในยุค 70-80 มาผสมผสานการอยู่อาศัยร่วมกันในสังคม ส่วนบริษัทพัฒนาที่ดินรายเล็กในพื้นที่ ลาดพร้าว เปิดขายโครงการบ้านอยู่เจริญ อีสต์วิลล์ ซอยนาคนิวาส 6 ราคา 38 ล้านบาทขึ้นไป และมองว่า ตลาดนี้ยังไปได้ดี สำหรับกลุ่มกำลังซื้อสูง
สำหรับทำเลบ้านหรู ระดับพรีเมี่ยม ระดับ 100 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพของกรุงเทพฯ เช่น ทำเลบางนา-ตราด ลาดพร้าว สุขุมวิท ประดิษฐ์มนูธรรม กรุงเทพกรีฑา เป็นต้น ซึ่งทุกทำเลต่างโดดเด่นด้านการเดินทาง เชื่อมต่อการเข้า-ออกเมืองได้สะดวก เงียบสงบ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจร มีสภาพแวดล้อมที่ดีและมีพื้นที่สีเขียวค่อนข้างมาก