KEY
POINTS
หลังประสบความสำเร็จ จากการขายโครงการสโคปหลังสวน (SCOPE Langsuan) โดยปิดการขาย ในส่วน ของเพนท์เฮ้าส์ (Penthouse) 4 ห้อง ทุบสถิติ คอนโดมิเนียมแพงที่สุดในไทยที่ราคาขาย 1 ล้านบาทต่อตารางเมตร สร้างแรงกระเพื่อมให้กับทำเลย่านศูนย์กลางธุรกิจ สำหรับ บริษัทสโคปจำกัด ภายใต้การนำของนายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโคป จำกัด ผู้ครํ่าหวอด ในวงการอสังหาริมทรัพย์มากว่า 30 ปี
เจ้าของคอนเซ็ปต์ สร้างที่อยู่อาศัยบนความต่าง และสร้างปรากฎการณ์ประมูลซื้อที่ดินราคาแพงที่สุดในไทย ที่ราคา 3.1ล้านบาทต่อตารางวา ร่วมกับบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SC) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แถวหน้าของเมืองไทย และเป็นถือหุ้นใหญ่ในบริษัทสโคปฯ เมื่อปลายปี 2560 จุดชนวนให้ที่ดินรัศมีโดยรอบขยับยกแผงไปที่ 3 ล้านบาทต่อตารางวา
ทั้งนี้ที่ดินที่ตั้งโครงการสโคป เป็นทำเลศักยภาพตั้งอยู่ในซอย หลังสวนตรงข้ามโรงเรียนมาแตร์เดอี ย่านเพลินจิต เนื้อที่ 880 ตารางวา หรือราว 2 ไร่เศษ ซึ่งเดิมเป็นบ้านเก่าแก่ของคนในตระกูล “พิชัยรณรงค์สงคราม” มูลค่าที่ประมูล ได้ในเวลานั้น อยู่ที่ 2,728 ล้านบาท
เมื่อถามถึงราคาที่ดินสโคปหลังสวนในวันนี้ นายยงยุทธ ยืนยันกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ขยับไปที่ 5 ล้านบาทต่อตารางวา ถือเป็นราคาที่สูงที่สุดในไทย เนื่องจากตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพและมีข้อได้เปรียบเป็นที่ดินฟรีโฮลด์ (Freehold) ผืนเดียวที่เหลือในย่านนี้ ที่เหนือไปกว่านั้น นอกจากทำเลคือการออกแบบ และการประกอบร่างที่นำองค์ประกอบที่ดีที่สุดระดับโลกมารวมไว้ สิ่งสำคัญที่นายยงยุทธ ตอกยํ้าคือ
การบริการคือหัวใจ ที่ถอดแบบมาจากโรงแรม ระดับ 5 ดาว ในรูปแบบไม่ต้องมีนิติบุคคล เสียค่าใช้จ่ายค่าส่วนกลาง โดยจะฉีกกฎเดิมๆออกไปสร้างประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัย และเนื่องจากที่ดินแพง ด้านการออกแบบต้องไม่ธรรมดา จึงเกิดห้องเพนท์เฮ้าส์ ระดับอัลติเมท คลาส ขนาด 465 ตารางเมตร จำนวน 3 ยูนิต และ เพนเฮาส์วิลล่า ขนาด 800 ตารางเมตร 1 ยูนิต ทุบสถิติคอนโดแพงสุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย ด้วยมูลค่าที่สูงกว่า 1 ล้านบาทต่อตารางเมตร และยังระบุอีกว่ามีกระแสข่าวที่เกิดการเปลี่ยนมือ เพนท์เฮ้าส์ในราคาที่สูงถึง1.3 ล้านบาทต่อตารางเมตรไปแล้ว
ดังนั้น“การบริการคือลักชัวรี” ที่นายยงยุทธให้คำจำกัดความว่า เป็นกลยุทธ์ที่สะกดใจลูกค้า สะท้อน จากยอดขายโดยรวมทั้งโครงการกว่า 65% ทั้งคนไทยและต่างชาติ ที่สร้างความเชื่อมั่น และปูทางไปสู่ความสำเร็จของ “สโคป ทองหล่อ” (SCOPE Thonglor) ที่มี DNA ตรงกับสโคปหลังสวน ซึ่งออกแบบเป็นคอนโดมิเนียมเพนท์เฮ้าส์ทั้งหมดที่ระดับอัลติเมท คลาส จำนวน18 ห้อง ราคาตํ่าสุด 200 ล้านบาท บนพื้นที่ 415 ตารางเมตร โดยมียอดขายไปแล้ว กว่า 55% ที่ความต่างไปจากโครงการลักชัวรี และอัลตร้าลักชัวรีที่เปิดขายทั่วไป
นายยงยุทธอธิบายว่า สาเหตุที่โครงการขายดี เพราะได้ศึกษาวิจัยความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้ ว่าต้องการ ทำเลดี อาหารดี มีห้องเหมือนบ้านเดี่ยว จำนวนยูนิตน้อยและราคาจ่ายที่เหมาะสม ตอบโจทย์ ออกแบบดีไซน์รูปแบบระดับโลก สิ่งเหล่านี้คือหัวใจของลักชัวรี
ดังนั้นจึงมองว่าสโคปทองหล่อ ถ้ามี 30 ยูนิต จะไม่มีความเป็นส่วนตัว และอาจขายไม่ได้ เพราะไม่ต่างจากคนอื่น ซึ่งเสียงที่ต้องการ คือ หนึ่ง ยูนิตต่อหนึ่งชั้นที่สะท้อนมาจากผลสำรวจลูกค้าที่มีประสบการณ์ ความวุ่นวาย เหมือนข้างบ้าน ที่เคยอยู่บ้านเดี่ยว ดังนั้น จึงลงตัวที่ 18 ห้องเป็นเพนท์เฮ้าส์ทั้งหมด รวมที่จอดรถห้องละ 6 คัน ที่มีความเป็นส่วนตัวท่ามกลางความเจริญของเมือง
“เราทำเพนท์เฮาส์ได้ทุกยูนิต เป็นตึกที่มีบริการเท่ากับหลังสวน ความพึงพอใจที่ตอบโจทย์คือควรมีห้องอยู่ในอาคาร ไม่ควรเกิน 20 ห้อง หรือ ชั้นละ 1ห้องบนตึก รวมที่จอดรถ เราต้องการทำให้สโคปทองหล่อ ไม่ด้อยกว่าหลังสวน จึงดูตำแหน่งที่ตั้งบนถนนสุขุมวิท ริมถนนใหญ่กลางสถานีรถไฟฟ้าทองหล่อขนาดแปลงที่ดินสร้างอาคารสูง 32 ชั้นได้ จึงมองว่าเป็น โปรดักส์ในฝันที่เราทำงานมา 31 ปี”
เมื่อถามถึงราคาที่ดินทำเลทองหล่อซึ่งเป็นที่ตั้งของโครงการ นายยงยุทธระบุว่าราคาจากที่ผ่านมา 2 ล้านบาทต่อตารางวาปัจจุบัน 3 ล้านบาทต่อตารางวา เนื่องจากติดถนนสุขุมวิท และสถานรถไฟฟ้าบีทีเอสทองหล่อ และสร้างอาคารสูงได้
นอกจากนี้ยังมี สโคป พร้อมศรี คอนโดโลว์ไรส์ ระดับลักชัวรี บนทำเลที่รายล้อมด้วยสีสันแห่งไลฟ์สไตล์อย่างซอยพร้อมศรีย่านพร้อมพงษ์ (สุขุมวิท 39) ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่าด้วยอัตราค่าเช่า 1,000 บาทต่อตารางเมตร และโครงการสโคป ทำเลประสานมิตรที่จะก่อสร้างในปีนี้
โดยสองโครงการหลังจะเป็นอีกกลุ่มระดับรองลงมาจาก สโคปหลังสวนและทองหล่อ โดยแผนโครงการปีนี้ ที่เปิดขายมีทั้งหมด 4 โครงการ มูลค่ารวม1.5หมื่นล้านบาทได้แก่ หลังสวน ทองหล่อ พร้อมศรีและประสานมิตร ละคาดว่าจะมียอดขายรวมทุกโครงการกว่า 5,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามนายยงยุทธ มองว่า ทำเล ไม่ได้หมายถึงความสำเร็จเสมอไปเหมือน 10-20 ปีก่อน แต่ต้องเปลี่ยนให้ทันยุคสมัย และเน้นรูปแบบการพัฒนาและต้องตอบโจทย์ความสะดวกสบาย คุ้มค่าทั้งเพื่ออยู่อาศัยและเพื่อลงทุน และนี่คือสโคปที่จะฉีกกฎเดิมๆออกไป !!