ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ ในกรุงเทพมหานคร ปี2567 ชะลอตัวจากผลกระทบเศรษฐกิจและหนี้ครัวเรือนแตะ 90% ของ GDP รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูงส่งผลกระทบต่อผู้ซื้อบ้านกลุ่มกลาง-ล่าง ขณะที่ภูเก็ตกลับมาคึกคัก ต่อเนื่องหลังโควิด -19 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ต่างพลิกเกมมองหาน่านนํ้าใหม่เจาะตลาดกำลังซื้อสูง
เช่นเดียวกับ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดกลยุทธ์รุกตลาดบ้านหรูและคอนโดมิเนียมในภูเก็ตต่อเนื่อง หลังมองเห็นโอกาส จากกลุ่มกำลังซื้อขนาดใหญ่รองจากกรุงเทพฯ และวางเป้าหมายขยายโครงการใหม่รองรับดีมานด์ต่างชาติ
นายอุทัย อุทัยแสงสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ให้สัมภาษณ์ว่า ปี 2567 ถือว่าแสนสิริได้เดินหน้าขยายไปยังตลาดต่างจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยวมากขึ้น โดยเฉพาะภูเก็ตที่มียอดขายเป็นอันดับสองรองจากกรุงเทพฯเท่านั้น และได้กลายมาเป็นศูนย์กลางการลงทุนโครงการใหม่ของแสนสิริในภาคใต้
ในขณะที่กรุงเทพฯ กำลังประสบปัญหาด้านกำลังซื้อ หนี้ครัวเรือน และชาวต่างชาติลดน้อยลง โดยเฉพาะในกลุ่มคอนโดที่มีราคาเฉลี่ยประมาณ 3 ล้านบาทซึ่งถือว่าเป็นตลาดแมสซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่ใหญ่ที่สุดในตลาดกรุงเทพฯ แต่เมื่อช่วงเวลาผ่านไปตลาดนี้เริ่มเข้าสู่ภาวะโอเวอร์ซัพพลาย ทำให้ยอดขายจริงไม่เติบโตมากเท่าที่คาด
ขณะเดียวกันภูเก็ตยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลาย โดยเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลกที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเฉลี่ยปีละกว่า 12 ล้านคน
และคาดว่าปี 2567 นี้ จะมีนักท่องเที่ยวมากถึง 16 ล้านคน เฉลี่ยเที่ยวบิน 330 ไฟลท์ต่อวัน ที่นำนักท่องเที่ยวราว 33,000 คนต่อวันเข้าสู่จังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มรัสเซียและยุโรป ทำให้ภูเก็ตสามารถทำรายได้เฉลี่ย 500,000 ล้านบาทต่อปี
นายอุทัยระบุว่าภูเก็ตเป็นตลาดที่เป็นเป้าหมายสำคัญของแสนสิริที่จะขยายพอร์ตโครงการใหม่ในอีก 5 ปีข้างหน้า ด้วยมูลค่าโครงการ 25,000 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งบ้านแนวราบ 16 โครงการ มูลค่า 11,000 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 11 โครงการ มูลค่า 14,000 ล้านบาท
“เราเริ่มเห็นความต้องการของกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่ชัดเจนมากขึ้นหลังโควิด โดยเฉพาะกลุ่มที่ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ระยะยาว เช่น ครอบครัวที่ต้องการโรงเรียนนานาชาติ และกลุ่มที่มองหาที่พักระดับพูลวิลล่า” นายอุทัยกล่าว
พร้อมระบุว่าภูเก็ตมีจุดแข็งทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ท่าเทียบเรือ โรงเรียนนานาชาติและระบบสาธารณสุขที่ดี ทำให้กลายเป็นจุดหมายยอดนิยมของชาวต่างชาติ
อย่างไรก็ตามภูเก็ตยังต้องเผชิญความท้าทายด้านราคาที่ดินที่พุ่งสูงขึ้นจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยราคาที่ดินริมทะเลเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 30% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แสนสิริจึงเน้นพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ดีมานด์ของชาวต่างชาติ
อย่างเช่น คอนโดมิเนียมราคาเริ่มต้น 7 ล้านบาท และพูลวิลล่าราคา 50 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งได้รับการตอบรับดีมากจากกลุ่มรัสเซีย จีนและยุโรป โดยใน 8 เดือนที่ผ่านมามียอดโอนอสังหาริมทรัพย์ในชาวต่างชาติเติบโตขึ้น 16% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
อสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตจึงต้องคำนึงถึงความยั่งยืน โดยแสนสิริมีแผนสนับสนุนการท่องเที่ยวแบบอนุรักษ์เพื่อให้ทรัพยากรธรรมชาติคงอยู่ระยะยาว เช่น การรณรงค์ลดขยะและดูแลปะการัง รวมถึงผลักดันการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนและระบบนํ้าประปา ที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพของเมือง
สำหรับปี 2567 แสนสิริวางแผนเปิดโครงการในภูเก็ต 4 โครงการ รวมมูลค่า 15,000 ล้านบาท เพื่อรองรับตลาดที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว พร้อมชูจุดขายด้านคุณภาพและการบริการหลังการขายที่โดดเด่น ซึ่งถือเป็นจุดแข็งที่ช่วยรักษาฐานลูกค้าในระยะยาว
นายอุทัย ยังกล่าวเสริมว่า ในปีหน้าตลาดอสังหาริมทรัพย์จะยังคงเติบโตตามการเติบโตของ GDP เป็นหลัก ซึ่งคาดการณ์ GDP ของปีนี้จะเติบโตมากกว่า 2.6-2.7% ส่วนของปีหน้าก็มีการคาดการณ์ว่าอาจเติบโตไปถึง 3% หรือมากกว่านั้น หากเศรษฐกิจดีขึ้นจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการส่งออก ซึ่งไทยยังคงต้องรักษาศักยภาพ
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ไม่แน่นอนและยังคงมีผลกระทบต่อการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์คือปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูง ซึ่งทำให้คนที่ต้องการซื้อบ้านในกลุ่มราคาประมาณ 3-4 ล้านบาทไม่สามารถเข้าถึงการกู้ยืมได้
เนื่องจากหนี้ที่สูงอาจทำให้การโอนกรรมสิทธิ์ล่าช้าหากหนี้ครัวเรือนได้รับการแก้ไขและเศรษฐกิจดีขึ้น ความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภคก็จะเพิ่มขึ้นส่งผลดีต่อการซื้อบ้าน
โดยในปีหน้าแสนสิริยังคงมีการโฟกัสที่กลุ่มตลาดกลาง (Medium) และตลาดสูง (High-end) สำหรับบ้าน ในส่วนของคอนโดมิเนียมในระดับราคา 3 ล้านก็จะยังคงเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญ และขยายไปยังตลาดเมืองท่องเที่ยวต่างๆ อย่างภูเก็ต ขอนแก่น พัทยา และเชียงใหม่ ซึ่งยังคงมีโครงการอยู่ในแผนการตลาดของบริษัท
หน้า 20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,050 วันที่ 5 - 7 ธันวาคม พ.ศ. 2567