ทุกวันนี้การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้ส่งผลกระทบต่อโลกและชีวิตของผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งภัยพิบัติจากสภาพอากาศที่รุนแรง หรือสภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทุกประเทศทั่วโลกจึงตระหนักถึงความสำคัญและผลกระทบที่เกิดขึ้น ซึ่งสาเหตุสำคัญส่วนใหญ่ที่ทำให้โลกร้อนขึ้น มาจากการปล่อยมลพิษในภาคอุตสาหกรรม การตัดไม้ทำลายป่า รวมไปถึงการกระทำต่างๆ ในการใช้ชีวิตประจำวันของมนุษย์เพียงเล็กน้อย อาจส่งผลทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสะสมอยู่บนชั้นบรรยากาศได้อยู่ตลอดเวลา
จากการประชุม COP26 เมื่อปี 2564 ผู้นำแต่ละประเทศ ได้มีข้อตกลงร่วมกัน เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน โดยให้ความสำคัญกับการจำกัดอุณหภูมิโลกให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส รวมไปถึงการประกาศเจตนารมย์ของแต่ละประเทศ ซึ่งประเทศไทยได้ประกาศตั้งเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2050 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้ในปี 2065
แต่เป้าหมายเหล่านั้นยังต้องอาศัยระยะเวลารวมถึงการดำเนินการร่วมกันของทุกภาคส่วน แล้วโลกของเราจะเป็นอย่างไรหาก “Net Zero” เป็นได้แค่เป้าหมายที่ไปไม่ถึง ?
โลกร้อนขึ้นทุกปี เฉลี่ย 1 องศาเซลเซียส
เมื่อเดือนมกราคม 2565 ที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์สหภาพยุโรป เปิดเผยข้อมูลใหม่ที่น่าสนใจที่ได้จากระบบดาวเทียมอียูในโครงการ Copernicus Climate Change Service (C3S) พบว่า ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา โลกมีอากาศร้อนที่สุด การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซมีเทนทั่วโลกก็ยังคงไต่ระดับสูงขึ้นสู่ระดับสูงสุดในประวัติการณ์ อีกทั้งในปี 2021 ที่ผ่านมานี้ ก็ยังเป็นปีที่ร้อนที่สุดอันดับ 5 โดยมีอุณหภูมิโลกเฉลี่ย อยู่ที่ 1.1 - 1.2 องศาเซลเซียส
ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากโลกร้อนขึ้นเรื่อย ๆ
องค์การสหประชาชาติ ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ถ้าหากโลกของเราร้อนขึ้นเรื่อย ๆ จะเป็นอันตรายต่อโลกและสิ่งมีชีวิตอย่างพวกเราอย่างไร
จากผลกระทบที่เกิดขึ้นเหล่านี้ สิ่งที่สำคัญมากที่สุด ในตอนนี้ คือ การช่วยเร่งดำเนินแผนในการยุติการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เร็วที่สุด ซึ่งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกนั้น เป็นแผนดำเนินงานที่หลายธุรกิจตั้งใจที่ผลักดันเป้าหมาย Net Zero ประเทศขับเคลื่อนต่อไปได้ ในช่วงที่ผ่านมา เราจึงได้เห็นภารกิจของภาคองค์กรเอกชน เข้ามาดำเนินการภารกิจลดโลกร้อน
เช่น บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) ประกาศบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2040 ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายประเทศ 10 ปี และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 เร็วกว่าเป้าหมายประเทศถึง 15 ปี รวมไปถึงการยุติการลงทุนในพลังงานถ่านหิน เพื่อไม่ให้เกิดการสร้างก๊าซเรือนกระจกได้อีก
ภาวะโลกร้อนไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวของทุกคน สิ่งที่ทำได้ ณ ขณะนี้คือการไม่ดำเนินการใด ๆ ที่จะเป็นปัจจัยที่จะทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกได้อีก ก่อนที่โลกจะกลายเป็น “หายนะทางสภาพภูมิอากาศ” ที่ส่งผลร้ายต่อชีวิตของพวกเราทุกคน