นายวิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการ และประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า เปิดเผยว่า เนสท์เล่ดำเนินกิจการในไทยครบปีที่ 130 ปี โดยมีการลงทุนต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2561-2565 รวม 13,600 ล้านบาท สร้างโรงงาน 2 แห่ง และยังได้ลงทุนอีก 335 ล้านบาทในธุรกิจใหม่อีบิสซิเนส เพื่อรองรับอีคอมเมิร์ซในการซื้อขายออนไลน์ โดยในปีนี้เตรียมงบลงทุนไว้ประมาณ 10,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนขยายกำลังผลิต การทำตลาด และการลงทุนด้านความยั่งยืน
ที่ผ่านมา เนสท์เล่ได้ปรับเปลี่ยนการใช้บรรจุภัณฑ์สู่วัสดุที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ โดยมีแผนที่จะเปลี่ยนให้ได้ 100% ซึ่งขณะนี้เปลี่ยนไปแล้ว 95% ของบรรจุภัณฑ์ในไทย และยังมีการใช้หลอดกระดาษแบบโค้งงอให้ผลิตภัณฑ์ไมโล รวมไปถึงการเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ไอศครีม และใช้พลังงานทดแทน 100% ในการผลิต
ในปีนี้ ประมาณเดือนพฤษภาคม เนสท์เล่ยังคาดการณ์ว่า จะสามารถเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ขวดน้ำ สู่ขวด rPET (Recycled polyethylene terephthalate) ซึ่งได้มีการปลดล็อคกฎหมายมาตั้งแต่มิถุนายนปี 2565 ขณะนี้อยู่ระหว่างการประเมินความปลอดภัย โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนประกาศใช้อย่างเป็นทางการ
เนสท์เล่มีแผนที่จะปรับเปลี่ยน และลดการใช้วัสดุที่สรางมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติต่อเนื่อง พร้อมการทำกิจกรรม และโครการต่างๆ ทั้งด้านการดูแลน้ำ เพื่อชดเชยน้ำกลับสู่ธรรมชาติให้ได้เท่ากับที่เนสท์เล่ใช้ไปในแต่ละปี และยังพยายามเดินหน้าให้ความรู้กับผู้บริโภคในเรื่องของสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน เพื่อลดปัญหาภาวะโลกร้อนต่อไป ภายใต้ 2 กลยุทธ์หลัก คือ “ขับเคลื่อนสิ่งดี ๆ เพื่อผู้บริโภค” สานต่อความมุ่งมั่นในเรื่องโภชนาการเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี และกลยุทธ์ “ขับเคลื่อนสิ่งดี ๆ เพื่อโลกของเรา” เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการดําเนินงานของเนสท์เล่มีความยั่งยืน
2 กลยุทธ์ดังกล่าวจะช่วยให้เนสท์เล่ ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยได้ดียิ่งขึ้น ช่วยให้คนไทยมีสุขภาพที่ดีและโลกของเราน่าอยู่ยิ่งขึ้น
สำหรับปีที่ผ่านมา เนสท์เล่สามารถสร้างรายได้เติบโตได้ราว 3.5-4% และคาดว่าปีนี้จะสามารถผลักดันยอดขายได้เติบโตต่อเนื่อง ในขณะที่ต้นทุนการผลิตโดยรวมเพิ่มขึ้นราว 8%