แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) เปิดเผยว่า หากรัฐบาลต้องการตรึงค่าไฟฟ้าให้อยู่ที่ระดับ 3.99 บาทต่อหน่วย เบื้องต้นจากกรณีการขึ้นค่าไฟต่ำที่สุด คือ 4.68 บาทต่อหน่วย เท่ากับส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นจะอยู่ที่ 69 สตางค์ต่อหน่วย
การอุดหนุนทุก 1 สตางค์จะใช้เงิน 600 ล้านบาท เท่ากับรัฐบาลจะต้องใช้วงเงินอุดหนุนถึง 41,400 ล้านบาท ซึ่งต้องดูว่าจะหาแหล่งเงินจากที่ใด เพราะถือเป็นวงเงินที่ค่อนข้างสูง หากจะใช้วิธียืดหนี้กฟผ.อีก ก็ต้องดูความพร้อมและสถานะการเงินประกอบด้วย
ทั้งนี้ ล่าสุดนายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ระบุว่า ที่ประชุมกกพ. เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบผลการคำนวณประมาณค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) สำหรับงวดเดือนมกราคม-เมษายน 2567 อยู่ที่ 64.18 สตางค์ต่อหน่วย จากปัจจัยแนวโน้มราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ตลาดโลกสูงขึ้นตามปริมาณการใช้เพิ่มขึ้น
จึงให้สำนักงาน กกพ. รับฟังความคิดเห็นในกรณีต่างๆ ผ่านทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ตั้งแต่วันที่ 10 – 24 พฤศจิกายน 2566 มี 3 ทางเลือก
อย่างไรก็ตาม กกพ.ยังรับทราบภาระต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจริงเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2566 พบแอลเอ็นจีตลาดโลกปรับตัวลดลงในช่วงกลางปีที่ผ่านมาส่งผลให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าต่ำกว่าประมาณการ และได้เงินส่งคืนส่วนต่างราคาก๊าซจากการดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2565 ที่กำหนดให้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ต้องคิดค่าก๊าซในรอบมกราคม-เมษายน 2566 ตามราคาประมาณการ
ทำให้มีเงินค่าต้นทุนส่วนเกินก๊าซนำมาคืนเป็นส่วนลดค่าก๊าซในรอบดังกล่าวเพิ่มเติม ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจริงมีค่าต่ำกว่าประมาณการ ทำให้ปลายเดือนสิงหาคม กฟผ. มีภาระต้นทุนคงค้างลดลงเหลือ 95,777 ล้านบาท จึงนำมาใช้คำนวณการคิดค่าเอฟทีครั้งนี้