นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC กล่าวว่า CRC มีความมุ่งมั่นทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน โดยผสามผสานทั้งคนและโลกเข้าด้วยกัน พยายามปรับปรุงองค์กร สร้างองค์กรให้มีความยืดหยุ่น (resilience) และทำให้ทุกคนเติบโตไปด้วยกัน โดยจะทำให้ทั้ง Green Operation, Green Transition และ Green Partnership จะทำให้ทุกคนมีส่วนร่วมกรีนไปด้วยกัน
ทั้งนี้ CRC ต้้งเป้าสร้างความตระหนักให้พันธมิตร และซัพพลายเออร์กว่า 1 หมื่นราย ตระหนักถึงการทำธุรกิจตามแนวทาง ESG แนวคิดที่คำนึงถึง 3 ปัจจัยหลัก คือ ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment, Social, Governance) พร้อมตั้งเป้าเข้าไปมีส่วนร่วมกับทางพันธมิตรทุกรายทั้ง 100% ตลอด SupplyChain โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี ค.ศ. 2024 ลงกว่า 10% เพื่อขับเคลื่อนแผนในการมุ่งสู่ Net Zero ภายในปี พ.ศ.2593 (ค.ศ.2050) เนื่องจากเซ็นทรัล รีเทล มองปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เป็น 1 ใน 4 ปัญหาที่ส่งผลกระทบกับคนทั้งโลก พัวพันทับซ้อนกับหลาย ๆ ปัญหา ทั้งเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ความผันผวนของเศรษฐกิจทั่วโลก รวมทั้งการเข้ามาของเทคโนโลยี AI
ปัจจัยเหล่านี้ ได้นำไปสู่การประกาศเดินหน้าสู่ CRC OMNI-Intelligent ที่ต้อง Beyond Retail ให้เป็นมากกว่าแค่ธุรกิจค้าปลีก สู่ Next -Gen Omnichannel เพื่อเพิ่มศักยภาพทั้งแพลตฟอร์ม ระบบนิเวศในธุรกิจ การผสมผสานทั้ง AI และ HI (Human Intelligence) เพื่อได้บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญมากขึ้น รวมทั้งสามารถสร้างอิมแพ็คที่ดีให้ทั้งกับธุรกิจ People และ Planet ควบคู่กันไป ผ่านการลงทุน 2.4 หมื่นล้านบาท เพื่อผลักดันการเติบโตโดยรวมทั้งรายได้และกำไรให้เติบโตได้มากกว่า 2 หลัก
นายญนน์ กล่าวว่า Green Transition เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญ ที่จะช่วยหยุดปัญหา Climate Change ก่อนขยับสู่ Climate Crisis โดยมุ่งให้ความสำคัญทั้งในมิติของการลดการใช้พลังงาน รวมทั้งสร้าง Positive Impact ไปสู่ Partners และ Communities ภายในห่วงโซ่
ที่ผ่านมา เซ็นทรัล รีเทล ทำทั้งเรื่องการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป เปลี่ยนจากการใช้พลังงานฟอสซิลสู่พลังทดแทน ติดตั้งทั้งศูนย์การค้าและร้านค้าในไทยและเวียดนามไปแล้ว 83 สาขา สามารถใช้พลังงานหมุนเวียนได้ 8% จากการใช้พลังงานทั้งหมด และสร้างสถานีชาร์จรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV Charging Station) 58 สาขา รองรับรถยนต์ไฟฟ้าได้ 790 คัน ในศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้า
ส่งเสริมการใช้รถบรรทุกไฟฟ้า (EV Truck) ในการขนส่งสินค้า รวมถึงติดตั้งตู้เย็นประหยัดพลังงาน (Energy Efficient Chiller) กว่า 217 ตู้ เพื่อสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยการใช้พลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาด 50% ภายในปี ค.ศ.2030
รวมไปถึงการผลักดันและส่งเสริมการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมผ่านโครงการ Love the Earth ออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ใช้วัสดุรีไซเคิล วัสดุที่มาจากธรรมชาติ หรือวัสดุคุณภาพที่ใช้ได้ทนทาน ทดแทนการใช้วัสดุสิ้นเปลืองและบรรจุภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง
“ในปีค.ศ. 2022 สนับสนุนการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมถึง 6% ด้วยการเพิ่มตัวเลือกสินค้าที่เป็นกรีนโปรดักส์ สินค้าออร์แกนิก สินค้าวีแกน และอื่นๆ พร้อมตั้งเป้า 100% รวมไปถึงการขยายร้านค้าสีเขียวจำหน่ายสินค้ารักษ์โลกกว่า 60 แห่ง เช่น ร้าน Healthiful, Tops Green โดยตั้งเป้าเดินหน้าเปิดเพิ่มเป็น 200 แห่ง”
ส่วนการบริหารจัดการขยะมูลฝอย (Waste Management) เซ็นทรัล รีเทล จัดโครงการขวดเปล่า ไม่สูญเปล่า โครงการที่รณรงค์ให้นำขวดพลาสติก PET กลับมาใช้ใหม่ ประยุกต์เศรษฐกิจหมุนเวียนผ่าน 3Rs เช่น รีไซเคิลขวดพลาสติกให้เป็นผ้าห่มกันหนาวให้กับผู้ขาดแคลน ส่งเสริมให้ลูกค้านำถุงผ้ามาใช้เอง หรือโครงการ Journey to Zero รณรงค์ลดขยะเหลือศูนย์ จัดจุดทิ้งขยะคัดแยก และส่งเสริมให้นำวัสดุหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมเชิงบวกให้กับลูกค้าและพนักงาน ผลลัพธ์ที่ได้คือสามารถนำขยะกลับมาใช้ประโยชน์ได้ 15% ด้วยการแปลงขยะเป็นปุ๋ยหรือก๊าซหุงต้มเพื่อลดปริมาณขยะสู่หลุมฝังกลบ โดยตั้งเป้าหมายการนำขยะมาใช้ประโยชน์เพิ่มขึ้นเป็น 30%
ทั้งนี้ การขับเคลื่อนเพื่อมุ่งสู่ความยั่งยืน จะเน้นตามแนวทาง CRC Care ที่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับทุกภาคส่วนใน Stakeholder ทั้งพันธมิตร, ลูกค้า, ชุมชนและสังคม, สิ่งแวดล้อม, ธรรมาภิบาลธุรกิจ และการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจในภาพรวม
“ความยั่งยืนเป็นเรื่องสำคัญ ทุกธุรกิจมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และมนุษย์ ขณะที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ต้องไม่มองว่าเป็นภาระ ที่ธุรกิจจะต้องมาหยุด Climate Change แต่มันคือโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ ที่หากสามารถตอบสนองกฎกติกาโลก และความต้องของผู้บริโภคได้ ก็คือโอกาสที่ดีทางธุรกิจนั่นเอง”