ด้วยจุดยืนของ “โรบินฮู้ด” ในการไม่เก็บค่าธรรมเนียมการใช้แพลตฟอร์ม (GP) เพื่อช่วยเหลือ “คนตัวเล็ก” ทั้งร้านค้าและไรเดอร์ ให้มีรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น และช่วยบรรเทาความยากลำบากทางการเงินที่ผู้ประกอบการร้านอาหารต้องเผชิญในช่วงวิกฤตโควิด-19 นอกเหนือจากธุรกิจร้านอาหาร โรบินฮู้ดยังเดินหน้าสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจของภาคส่วนการท่องเที่ยวในประเทศ ด้วยการเปิดให้บริการด้านการท่องเที่ยวออนไลน์แบบครบวงจร (all-in-one travel service)
โดยล่าสุดได้ประกาศจับมือพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ Google Cloud และบริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) ("MFEC") เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม เสริมความแข็งแกร่งในโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีของแพลตฟอร์ม พร้อมยกระดับประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ด้วยระบบอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล และร่วมกันสร้างบริการดิจิทัลรูปแบบใหม่ในอนาคตต่อไป
นายธนา เธียรอัจฉริยะ ประธานกรรมการ บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด ผู้พัฒนาและให้บริการแพลตฟอร์ม “โรบินฮู้ด” กล่าวว่า "รูปแบบธุรกิจที่แตกต่างของ โรบินฮู้ด ช่วยให้เราสามารถสร้างรายได้จากบริการอื่นๆ เช่น การให้สินเชื่อแก่บุคคลธรรมดาในระบบนิเวศของเรา แทนการเก็บค่าธรรมเนียมการใช้แพลตฟอร์มจากผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร และโรงแรมซึ่งเป็นการตัดรายได้ของผู้ให้บริการเหล่านี้ ปัจจุบัน เรามีไรเดอร์ให้บริการส่งอาหารกว่า 30,000 คนมีร้านอาหารบนแพลตฟอร์มจำนวน 225,000 ร้าน และผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจโรงแรมกว่า16,000 แห่ง ทำให้ โรบินฮู้ด กลายเป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมจากลูกค้าผู้ใช้งานกว่า 2.8 ล้านราย
ความร่วมมือกับ Google Cloud และ MFEC ในครั้งนี้ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถต่อยอดการตอบรับอย่างอบอุ่นจากผู้ใช้งานสร้างการตอบรับอย่างอบอุ่นที่เพิ่มมากขึ้นบนแพลตฟอร์มของเร ตลอดระยะเวลากว่า 20 เดือนที่ผ่านมา ก่อนขยายสู่บริการอื่นๆ ได้แก่ บริการจองทัวร์และกิจกรรม บริการเช่ารถ และบริการจองตั๋วเครื่องบิน รวมถึงบริการสั่งซื้อสินค้าจากซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้า (Mart Service) และบริการรับ-ส่งของ (Express Service) เพื่อมุ่งสู่การเป็น Super App สัญชาติไทย ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจสนับสนุนผู้ประกอบการไทย และช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจในระดับรากหญ้า"
นายสีหนาท ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า "โรบินฮู้ด เป็นแพลตฟอร์มที่ดำเนินการบนระบบคลาวด์มาโดยตลอด ทั้งนี้ นับตั้งแต่ที่เราเริ่มเห็นความต้องการบริการของเราเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเพื่อช่วยให้เราสามารถเติบโตแบบยั่งยืน และประหยัดค่าใช้จ่าย
การจับมือกับ Google Cloud ในครั้งนี้ เราเล็งเห็นถึงศักยภาพของ Google ที่มีโครงสร้างพื้นฐานของระบบคลาวด์สำหรับข้อมูล ซึ่งปราศจากการปล่อยก๊าซระหว่างดำเนินการ และมีประสบการณ์มากมายในการเชื่อมโยงโลกเข้าไว้ด้วยกัน รวมถึงมีความเชี่ยวชาญในการสร้างแพลตฟอร์ม และระบบนิเวศแบบเปิดกว้าง ความสามารถเหล่านี้บวกกับความเชี่ยวชาญด้านการใช้งาน และการให้คำปรึกษาทางเทคนิคของ MFEC จะช่วยยกระดับความสามารถของเราในการสร้างคุณค่าให้กับสังคมไปพร้อมๆ กับการมุ่งมั่นพัฒนาเพื่อความยั่งยืน"
พันธมิตรเชิงกลยุทธ์จะยึดพื้นฐานหลัก 5 ประการดังนี้
การพัฒนาผู้ที่มีทักษะและวัฒนธรรมที่นำไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรม: โรบินฮู้ด, Google Cloud และ MFEC จะสร้างศูนย์ส่งเสริมการใช้งานระบบคลาวด์ (CCoE) ซึ่งประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมระบบคลาวด์ การจัดการข้อมูล และการพัฒนาแอปพลิเคชันให้ทันสมัยเพื่อส่งเสริมให้เกิดวัฒนธรรมที่คล่องตัวในหน่วยธุรกิจของโรบินฮู้ด และเร่งสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ พนักงานของ โรบินฮู้ด จะได้ประโยชน์จากโปรแกรมการรับรองและการเพิ่มทักษะเฉพาะของ CCoE ซึ่งใช้หลักสูตรเดียวกันกับที่ Google ใช้เพื่อฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีของตนเอง พนักงานเหล่านี้จึงมีความรู้ความสามารถเพียบพร้อมในการจัดการการติดตั้งใช้งานระบบคลาวด์ขนาดใหญ่ รวมถึงใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิง (ML) เพื่อแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจเป็นอย่างมาก
การยกระดับคุณภาพของบริการดิจิทัล: การย้ายระบบไปยังโครงสร้างพื้นฐานแบบเปิดของ Google Cloud ที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutral) มีความปลอดภัย รองรับการขยายตัว ทำให้ โรบินฮู้ด สามารถให้บริการในระบบนิเวศของตนเองอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และลดปริมาณ carbon footprint ของปริมาณงานในทีมไอที จากนั้น CCoE จะทำให้เข้าถึงการใช้ Microservices และ Google Play Store เพื่อให้มั่นใจว่าแอปพลิเคชันของลูกค้าและไรเดอร์ของ โรบินฮู้ด ยังคงมีประสิทธิภาพ เสถียร และใช้งานง่าย แม้ว่าจะมีการเพิ่มบริการใหม่ๆ และมีผู้ใช้ในปริมาณมากก็ตาม
การมีส่วนร่วมที่เจาะจงมากขึ้นของผู้ใช้: CCoE จะสร้างและจัดการเครื่องมือสำหรับข้อมูลอัจฉริยะโดยใช้เทคโนโลยีการวิเคราะห์ระดับแนวหน้าของ Google อย่างเทคโนโลยี AI และ ML เพื่อช่วยให้พนักงานของ โรบินฮู้ด รู้ทันและนำหน้ารูปแบบการบริโภคของผู้ใช้ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด และใช้ประโยชน์จากข้อมูลเชิงลึกแบบละเอียดในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ นอกจากนี้ยังช่วยให้ร้านค้าขนาดเล็กสามารถให้คำแนะนำผลิตภัณฑ์ที่มีความเฉพาะจงจงกับลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับร้านค้าเหล่านั้นช่วยเพิ่มรายได้เพิ่มแหล่งรายได้ของผู้ขายเหล่านี้อีกด้วย
การเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ของไรเดอร์: โรบินฮู้ด จะสำรวจโดยใช้ชุดพัฒนาซอฟต์แวร์ของ Google Maps Platform เพื่อติดตามการสร้างและการผสานรวมฟีเจอร์การขนส่งแบบออนดีมานด์อย่างรวดเร็ว เช่น การมอบฟีเจอร์การนำทางแบบเลี้ยวต่อเลี้ยวในแอปหลังจากที่ระบุเส้นทางที่สั้นหรือเร็วที่สุดให้แก่ไรเดอร์ เพื่อให้ขับขี่ได้ปลอดภัยยิ่งขึ้น ส่งออเดอร์ได้เร็วขึ้น และมีรายได้มากขึ้น ผู้ใช้บริการส่งอาหารของ โรบินฮู้ด จะเห็นการแสดงตำแหน่ง เส้นทาง สภาพการจราจร และเวลาถึงโดยประมาณของไรเดอร์แบบเรียลไทม์ ซึ่งจะทำให้ลูกค้าต้องการความช่วยเหลือหรือยกเลิกออเดอร์น้อยลง
การให้ความช่วยเหลือทางการเงินที่เข้าถึงได้ง่าย: หลังจากที่พบว่าการเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างรวดเร็วสามารถเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความแตกต่างให้ธุรกิจขนาดเล็กและไรเดอร์อยู่รอดและเติบโตต่อไปได้ โรบินฮู้ด จะพัฒนาแนวคิดริเริ่มด้านการสร้างนวัตกรรมร่วมกันกับ Google Cloud เพื่อใส่บริการ Virtual Banking และสินเชื่อสำหรับธุรกิจขนาดเล็กลงในแอปพลิเคชัน ซึ่งจะช่วยให้เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กสามารถสมัครขอสินเชื่อ เพื่อซื้ออุปกรณ์ใหม่และจ้างพนักงาน ได้อย่างไร้รอยต่อ หรือให้ไรเดอร์สามารถเช่าจักรยานยนต์ไฟฟ้าได้
นายศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร CEO และประธานบริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ในฐานะพาร์ทเนอร์หลักของ Google Cloud และผู้พัฒนาระบบชั้นนำของประเทศไทย เราภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนความมุ่งมั่นของโรบินฮู้ดในการก้าวสู่การเป็น Super App สัญชาติไทย โดย CCoE ที่สร้างขึ้นใหม่ซึ่งแสดงให้เห็นถึงทักษะสำคัญเกี่ยวกับระบบคลาวด์ การปรับใช้สถาปัตยกรรมระบบคลาวด์แบบเปิดกว้าง การนำแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการกำกับดูแลข้อมูล และการติดตั้งใช้งานแอปพลิเคชันอัตโนมัติ ทำให้ โรบินฮู้ด สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ด้านประสิทธิภาพในวงกว้าง เพิ่มประสิทธิภาพต้นทุนทางไอที คงไว้ซึ่งความปลอดภัยสูงสุดสำหรับข้อมูลและมาตรฐานความเป็นส่วนตัว และส่งเสริมให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์เปิดตัวการอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างระบบนิเวศดิจิทัลอีกด้วย"
เอพริล ศรีวิกรม์ Country Manager, Google Cloud ประจำประเทศไทย กล่าวว่า "พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจอาหารและการขนส่ง อีคอมเมิร์ซ บริการจองการเดินทางออนไลน์ และบริการทางการเงินดิจิทัล ซึ่งเป็นประเภทธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในเศรษฐกิจอินเทอร์เน็ตที่ฟื้นตัวขึ้น
โดยคาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าเกือบ 2 ล้านล้านบาทภายในปี 2025 ดังนั้น การลงทุนด้านการพัฒนาบุคลากรที่มีความสามารถ และการใช้ประโยชน์จากความสามารถของ Google Cloud, Google Maps และ Google Play เพื่อปรับขนาดองค์กรอย่างยั่งยืน และสร้างนวัตกรรมในอัตราความเร็วสูง รวมถึงการขยายรูปแบบธุรกิจเพื่อสังคมไปสู่ประเภทธุรกิจใหม่ๆ ทำให้ โรบินฮู้ด เพื่อการสร้างและให้บริการ Super App ระดับโลกของ เพื่อตอบสนองความต้องการด้านดิจิทัลไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายและปลดล็อกโอกาสในการเติบโตสำหรับทุกภาคส่วนในอนาคต"