พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) สัมภาษณ์พิเศษกับเนชั่นกรุ๊ป ตอนหนึ่งถึงการประเมินจำนวน ส.ส. ในการเลือกตั้ง 2566 โดยยอมรับว่า แต่ละภาคไม่เหมือนกัน บางภาคก็รักชอบ บางภาคก็ไม่ชอบ แต่ตนคาดหวังกับคนที่ยังไม่แสดงความเห็น หรือคนที่เงียบ ๆอยู่ตรงกลาง คิดว่าเขาตัดสินใจแล้วเพียงแต่ยังไม่พูด และคิดว่าน่าจะดีขึ้น
“ตอนแรกที่มาก็โดนดูถูกว่า ไม่น่าจะได้ถึง 20 เสียง แต่ตนว่าน่าจะได้แล้วแบบค่อย ๆ ไต่ขึ้นไป แต่ก็ถูกต่อว่ามากขึ้น ก็ต้องยอมรับสภาพว่านี่คือนักการเมือง แต่ถ้าดูจากโพลก็คิดว่า 40-50 คงได้ แต่ถ้าได้ซัก 100 ก็คงดี” พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ไปทั่วทุกภาค กระแสตอบรับดีขึ้นพอสมควร ต้องขอบคุณคนในพื้นที่ และสื่อโซเชียลต่าง ๆ ที่ให้ความสนใจ เพราะเราเป็นพรรคใหม่ที่ผสมผสานระหว่างคนรุ่นเก่า รุ่นกลาง รุ่นใหม่ โดยยอมรับว่าการเป็นพรรคใหม่ก็ค่อนข้างยาก ซึ่งหลายพรรคมีความมั่นคงมายาวนาน แต่จะพยายามต่อไป
ส่วนการลงพื้นที่ถ้าเทียบกับปี 2562 ต่างกันอย่างไร คงตอบไม่ได้ เพราะตอนนั้น พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ดำเนินการ แต่ช่วงท้ายก็ได้ลงไปเยี่ยมพื้นที่ต่าง ๆ เมื่อประชาชนเห็นหน้าก็พึงพอใจ ประกอบกับกระแสพรรคในตอนนั้นก็ดี เพราะพล.อ.ประวิตรทำไว้ดี
อยากให้คนรุ่นใหม่ใคร่ครวญคิดให้ช้าลงนิด
สำหรับปัจจุบันมองว่ามีคน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่อยากร่วมมือ แต่อีกกลุ่มหนึ่งต้องการเปลี่ยนแปลงให้เร็วและเร็วที่สุด ซึ่งตรงนี้ก็น่าเป็นห่วง เพราะบางอย่างทำได้ ทำไม่ได้ แต่สิ่งสำคัญก็อยู่ที่ประชาชนต้องคิดให้ดี การทำอะไรต่าง ๆ เร็วเกินไปก็มีผลเสีย ก็คงต้องฝากคนทั้ง 2 กลุ่ม
“คนที่มีอายุ จะเข้าใจหลักเกณฑ์หลักการหลายอย่าง เพราะมีประสบการณ์ เข้าใจการทำงานแบบนี้ว่าต้องใช้เวลาและระมัดระวัง รอบคอบ เพื่อความมั่นคงและยั่งยืน ส่วนเด็ก ๆ วันนี้หลายคนก็จำไม่ได้ว่าประเทศชาติเคยเป็นยังไงมาก่อน พอโตมา ก็เห็นเทคโนโลยีแล้ว เจอความทันสมัยแล้วอย่างรถไฟฟ้า เขาจึงคิดว่าต้องทำให้เร็วกว่านี้ แต่ลืมนึกไปถึงเรื่องระเบียบ กติกา เหมือนวัยรุ่นใจร้อน แต่ตนก็ยินดีรับฟังทุกช่องทางการสื่อสาร”
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อยากให้ใคร่ครวญคิดให้ช้าลงสักนิด แล้วอยากให้ย้อนกลับไปดูว่าสิ่งที่ได้มาวันนี้ ต้องใช้เวลาเท่าไรกว่าจะได้มา บางเรื่องก็ใช้เวลาหลายปี ตนรู้ว่าทุกคนหวังดีกับประเทศ
ส่วนความขัดแย้งจะเกิดอีกหรือไม่ คงทำนายไม่ได้ ขึ้นอยู่กับประชาชน แต่จริง ๆ ก็เป็นแบบนี้มา 20 ปีแล้ว ปัจจุบันก็มีการปลุกเร้าในโซเชียลขึ้นมา แต่ก็ยอมรับว่าความคิดคนควบคุมไม่ได้ แต่เราต้องแสดงความจริงใจให้เห็น สามารถชี้แจงตอบคำถามได้ แต่อย่าขัดแย้งกัน
ลุ้นกระแสคนตรงกลาง พลังเงียบเฉียบขาด
ผู้สื่อข่าวถามว่า ตอนนี้แบ่งเป็น 2 ขั้วคือ ขั้ว 2 ลุง ลุงตู่-ลุงป้อม อีกขั้วคือเพื่อไทย ก้าวไกล พล.อ.ประยุทธ์ ยอมรับว่า ตอนนี้ก็พูดกันไปพูดกันมา ท้ายสุดให้ดูการเลือกตั้งแล้วกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะเป็นอย่างที่พูดหรือไม่ ตนไม่รู้ แต่ใครพูดอะไรก็ถูกบันทึกไว้หมดแล้ว
ดังนั้นตนไม่สามารถชี้ชัดอะไรได้ แต่ยืนยันว่าไม่มีเงื่อนไขในการรวมพรรคการเมืองจัดตั้งรัฐบาล เพราะคาดว่าคะแนนจะแตกต่างมากพอสมควร จึงต้องไปดูว่าอะไรที่ตรงกัน หรือทำร่วมกันได้ ก็ร่วมมือกัน
ส่วนกรณีของพรรคฝั่งตรงข้าม พล.อ.ประยุทธ์ บอกด้วยว่า ฝั่งเขา (ก้าวไกล) ประกาศแล้วว่าไม่มากับตน ก็ไม่ต้องมา ตอนนี้ก็รอดูช่วงโค้งสุดท้ายก่อน เพราะกระแสคนตรงกลาง พลังเงียบเฉียบขาด ก็มีอยู่ และเขายังไม่ตัดสินใจ ก็ขอฝากให้ครั้งนี้ช่วยกันออกมาเลือกตั้งกว่า 90 %
“ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นแบบไหนตนก็รับได้ เพราะถ้าตนไม่อยู่ พรรคก็ยังอยู่ ส.ส.ก็ต้องมี ก็รัฐมนตรีก็ยังอยู่ แต่ถ้าไม่ได้เป็นนายกฯ หรือ ส.ส. ผมก็ยังมีโอกาสช่วยเขาอยู่ได้ วันนี้สำคัญที่สุดคือให้ประเทศชาติไปข้างหน้าได้ก่อน อย่ามัวมาติดกันหยุดตรงนี้เลย”
เมื่อถามว่า ทำไมความชื่อมั่นลุงตู่ลดลง แม้ว่าจะทำบัตรลุงตู่ และ โครงสร้างพื้นฐานแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ทุกอย่างมีคนชอบ และไม่ชอบ เป็นการดำเนินการทางการเมืองที่มีคนกลุ่มใหม่ขึ้นมา ก็อยากถามกลับเหมือนกันว่าทำดีเกินไปหรือเปล่า แล้วคุณทำอะไรบ้างหรือยัง ตนน่ะทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ แต่พวกคุณเคยทำอะไรบ้างหรือยัง วิธีการทำอย่างไร ยังไม่รู้วิธีการเลย
“วันนี้คนอ่านหนังสือน้อยลง คนไทยไถแต่โทรศัพท์ แต่ก็ว่าเขาไม่ได้ ก็ต้องสอนว่าทุกอย่างไม่ได้มาง่าย ๆ แบบนี้ ถ้าเขารู้ว่ารถไฟสายต่าง ๆ กว่าจะได้มาเป็นอย่างไร ต้องมีการวางแผน ศึกษาความเป็นไปได้ หาทุน ร่วมทุน กฎหมายร่วมทุน หาสถานที่เวนคืนที่ กว่าจะได้มาใช้เวลา 8 ปี”
ตอบปมอยู่นาน 8 ปี คะแนนนิยมลดลง
เมื่อถามว่า เคยประเมินหรือไม่ว่าความนิยมที่เคยมีคะแนนสูง ค่อย ๆ ลดลง เป็นเพราะคนเบื่อที่เราอยู่นาน 8-9 ปี หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ยอมรับว่า มีอยู่ 2 ประเด็น ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะอยู่นาน แต่อีกประเด็นคือคนอีกกลุ่มที่มาเดินแบบนี้ คนที่เคยต่อต้าน ไม่เห็นด้วย ก็ไม่มีขนาดนี้ ปัจจุบันเป็นการจัดตั้งหรือไม่ ตนก็ไม่แน่ใจ แต่ขออย่าทำเลย หันกลับมาร่วมกันพัฒนาบ้านเมืองดีกว่า เพราะถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป วันข้างหน้าคิดหรือว่าจะบริหารได้
“คำว่าอยู่นานของผม บางทีก็อย่างที่เขาบอก ก็อาจมีบุคลิกที่เป็นทหารมาก่อน หลายคนอาจจะไม่ชอบทหารบ้างก็เรื่องของเขา แต่ผมก็คือตัวตนของผม ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นนายกฯ ไม่ควรเป็นอย่างนี้ แต่เวลาทำงานผมก็ซีเรียส แต่บางเวลาผมก็ไม่ได้ตลกอะไรมากมาย ผมเป็นคนอารมณ์ขัน แต่ก่อนก็ชอบหัวเราะกับเพื่อน เป็น ผบ.ทบ.ก็ยังตลก เพื่อให้ลูกน้องฟังเวลาประชุมกัน ไม่งั้นก็หลับหมด เวลาว่างที่ผมอยู่กับเพื่อน เจอเพื่อนสนิท เจอประชาชนเวลาไปหาเสียง ที่ ผมก็ตลกกับเขา ให้เห็นอีกบทบาทหนึ่ง ผมเป็นลุงก็ได้ เป็นพี่ก็ได้ ผมคิดเดี๋ยวนั้น ในเมื่อเบื่อลุง ก็รักพี่แทน”
โพลชี้ยังได้รับความนิยมภาคใต้
ส่วนผลโพลได้รับความนิยมภาคใต้นั้น มองว่า ตนอยู่มาหลายปีสังเกตว่าประชาชนแต่ละภาคเป็นอย่างไร ภาคใต้ก็ต้องชื่นชมเพราะเขาชอบการเมือง พูดจาติดตามข่าวสารคุยกันทั้งวัน พอเราไปคุย เขาก็รู้เรื่องเพราะมีฐานข้อมูล แต่ภาคอื่นอาจจะน้อย อาจไม่ค่อยได้คุยกัน อาจจะเสพสื่อจากโซเชียลทั้งหมด หรืออาจเป็นปัญหาว่าความคิดไปกันไม่ได้ แต่ตนไม่ได้เน้นไปที่ภาคใต้ เพราะที่อื่นก็ไปมาแล้ว ตนทำให้แต่ละภาคมากถึงแม้จะชอบ-ไม่ชอบก็ทำให้ทุกจังหวัด
เมื่อถามว่า พรรคที่จะชนะเลือกตั้งเป็นรัฐบาล นอกจากจะได้เสียงจากภาคอีสาน เหนือ ใต้ แล้ว หัวใจสำคัญคือต้องชนะใน กทม. โค้งสุดท้าย 2 สัปดาห์จะลุยอย่างไรให้ชนะ พลเอก ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนก็ต้องลงพื้นที่เอง ตอนนี้ก็ให้ผู้รับผิดชอบช่วยขับเคลื่อน เพราะผู้สมัครทุกคนก็หน้าใหม่ ต้องหาคนมีประสบการณ์ลงไปเดินในพื้นที่ ช่วงนี้ก็เอาชื่อผมไปหาเสียงก่อนแล้วกัน แล้วจะเพิ่มเติมให้อีกที
ทั้งนี้ในปัจจุบันมีหลายช่องทางหาเสียง แต่ปัญหาคือแต่ละพื้นที่มีเจ้าของอยู่แล้ว มีคนจองหมดแล้ว แต่บางทีจองแล้วก็อาจมีคนที่เรารักเราออกมาเหมือนกัน ซึ่งคิดไว้ แต่ไม่ประเมินหรอก การเป็นนายกฯ หรือเป็นรัฐบาลมีหน้าที่ความรับผิดชอบที่ต้องทำให้ประชาชน ไม่ใช่เอามาต่อรอง ใครไม่ขอก็ต้องทำให้ บางโครงการ ส.ส. ไม่ได้ขอมา แต่ตนเห็นเองก็ทำให้ จะดูที่วัตถุประสงค์และความคุ้มค่า ตรงตามความต้องการของประชาชนหรือไม่ ตนบริหารแบบพุ่งเป้า ว่าพื้นที่ไหนขาดอะไร แต่ถ้าให้ที่เดียวที่อื่นก็ไม่ได้
พล.อ.ประยุทธ์ ยังบอกว่า ที่ผ่านมาได้เร่งทำเรื่องเศรษฐกิจฐานราก ช่วยเหลือประชาชน แต่ที่สำคัญประชาชนก็ต้องช่วยตัวเองด้วย อยากให้แต่ละกลุ่มรวมตัวกัน รัฐบาลจะได้ช่วยตรง เพราะถ้าหว่านไปหมดก็หายหมด นอกจากนี้ตนยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาฝีมือแรงงาน ซึ่งตอนนี้ประเทศไทยอัตราว่างานต่ำที่สุด ไม่ถึง 1% แต่ก็ยังขาดแรงงานอีกเยอะ โดยเฉพาะเรื่องของทักษะฝีมือ ซึ่งตนก็สั่งให้กระทรวงแรงงานได้ดำเนินการแล้ว
เมื่อถามว่า มองอย่างไรหลายพรรคการเมืองใช้นโยบายประชานิยมหาเสียง โดยยอมรับว่า ทุกคนอาจจะหวังดีอยากให้มีการเปลี่ยนแปลงประเทศเร็วขึ้น แต่อย่าลืมว่าทุกอย่างมีระยะเวลาและขั้นตอนดำเนินการ มีกฎหมายระเบียบ หลายคนออกมาพูดว่าการประชุมครั้งแรกจะลดอย่างนี้อย่างนั้น จะเปลี่ยนอย่างนี้อย่างนั้นทันที ที่พูดกันก็ไม่ได้พูดถึงหลักการ เพราะไม่มีประสบการณ์พอสมควร ซึ่งการบริหารภาครัฐไม่ใช่แบบนั้น มีรายละเอียดที่มากกว่านั้น
พบกับลุงป้อมล่าสุดเมื่อไหร่
เมื่อถามว่า ได้พบกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ล่าสุดเมื่อใด พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สัปดาห์ที่แล้ว เมื่อสงกรานต์ตนก็ไปกราบ พลเอก ประวิตร แต่ไม่คุยการเมือง เพราะต่างคนต่างรู้สึกว่ายังไม่ถึงเวลา หลังเลือกตั้งเดี๋ยวก็มีคนคุยมากกว่า 2 คนอยู่แล้ว
เมื่อถามย้ำว่า เคยได้สัมภาษณ์พลเอกประวิตร บอกว่าหากใครได้เสียงมากกว่าให้คนนั้นจัดตั้งรัฐบาล เรื่องนี้จริงหรือไม่ พลเอก ประยุทธ์ กล่าวว่า พลเอก ประวิตร ไม่ได้คุยกับตนโดยตรง แต่พูดในที่ที่มีหลายคนนั่งอยู่ ก็คือพูดให้ได้ยิน ก็เอาตามสบายใจ อะไรมันเกิดขึ้นก็ได้ ไม่รู้
ถามย้ำว่า แล้วจุดยืนของพลเอก ประยุทธ์ ใครได้คะแนนเสียงมาก คนนั้นก็จัดตั้งรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ กล่าวว่า เห็นข่าวช่องไหนไม่รู้ มันมีอีกหลายสูตรนะ มีพรรคร่วมอีกด้วย แล้วถ้าเขารวมกันได้มากกว่าก็พร้อมเสนอใครก็ได้ แต่ผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้หรือเปล่า ไม่แน่ใจ
ใครได้เสียงข้างมาก ควรเป็นคนจัดตั้งรัฐบาลไหม
ถามต่อว่า หลักคิดของพลเอก ประยุทธ์ คือถ้าใครได้เสียงข้างมาก คนนั้นควรเป็นคนจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ พลเอก ประยุทธ์ กล่าวว่า “อันนี้ผมพูดเฉพาะพี่ป้อม 2 คน เพราะพี่ป้อมท่านว่าท่านก็พร้อมเป็นนายกฯ แล้วในพรรคก่อนหน้านี้ที่ผมออกมา ส.ส.ก็มีนายกฯ ในใจ 2 คน ผมก็เลยถึงเวลาของพี่ก็เชิญตามสบายแต่ผมก็ออกมาเอง”
เมื่อถามย้ำว่า พูดกับพลเอก ประวิตร อย่างนี้เลยหรือ พลเอก ประยุทธ์ หัวเราะแล้วกล่าวว่า เปล่าสิ พูดกับพี่ก็พูดคนละอย่าง ผมพูดเรียบร้อย ว่าถ้าพี่พร้อมจะเป็นจะได้สบายใจ เพราะคนในพรรคสนับสนุน 2 คน ผมด้วยพี่ป้อมด้วยอะไรทำนองนี้ เพื่อความสบายใจผมออกเลยแล้วกัน ก็แค่นั้นก็จบ
ลุงตู่ เล่นโซเชียลเยอะไหม
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็มีบางที เห็นบางคนวันไม่ทำอะไรนั่งไถโทรศัพท์ พอมาดูโอ้โหคนด่าตนเพียบเลย (หัวเราะ) ก็เลื่อนผ่านไป แต่บางทีก็ไปเจอคนที่มีความเดือดร้อน ไม่ทีที่อยู่อาศัย พ่อแม่ตาบอด ตนก็สั่งให้หน่วยงานไปดู มันไม่ใช่เรื่องยากเย็น บางคนแม่ตาบอด พ่อพิการ ตนใจอ่อนรับกับเรื่องพวกนี้ไม่ได้ ตนต้องช่วย
ประกาศใช้ผลงานเข้าสู้
เมื่อถามว่า ตอนนี้พรรคร่วมรัฐบาลคิดว่านายกฯเป็นศัตรู เพราะไปแย่งพื้นที่ แย่ง ส.ส. เขา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า คิดแบบนี้ได้ยังไง เลือกตั้งก็คือเลือกตั้ง ให้ประชาชนเป็นคนเลือก
ส่วนกรณีรวมไทยสร้างชาติเป็นพรรคตั้งใหม่ อาจมีคนเก่ามาผสม คิดไหมว่าเป็นพรรคที่ใช้ต้นทุนลุงตู่มากที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ยอมรับว่า ก็ต้องให้กำลังใจ เพราะจำเป็น ตนบอกเลยว่าใช้ได้ทั้งผลงาน โครงการต่างๆ ไปประชาสัมพันธ์ เพราะเราเป็นหน้าใหม่ บางทีเข้าไปในพื้นที่เสือดุ ก็ต้องอ้างไว้โครงการเป็นตัวเลือกไว้ก่อน
แต่ตนไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร อย่าเอาตนไปทะเลาะกับใคร และคนอื่นก็อย่ามาทะเลาะกับตน ทุกคนก็เป็นพรรคร่วมรัฐบาลกันหมด ก็ให้เกียรติกัน แต่วันนี้ก็พวกเขาก็ยังโอเคกับตนในเรื่องส่วนตัว แต่ช่วงเลือกตั้งก็อาจจะต้องเป็นแบบนี้ ที่ผ่านมาทำงานก็ให้เกียรติกัน
ทั้งนี้เมื่อถามว่าคิดหรือไม่ว่าการมาอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ อาจจะได้ไม่ถึง 30 เสียง พลเอก ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนไม่ได้คิดแบบนั้น คิดแค่จะมีพรรคการเมืองที่ดีมีคุณภาพ ใครเชื่อมั่นศรัทธาก็มาอยู่กับผมผมเชื่อมั่นศรัทธาใครผมไปอยู่กับด้วยกัน จะได้แค่ไหนก็เป็นพรรคการเมือง เริ่มต้นอาจจะไม่ถึงจุดสูงสุดก็ได้ ตนจะมีอะไรไปสู้กับเขาได้ นอกจากสิ่งที่ทำไปแล้ว
“เราใช้ผลงานเข้าสู้ ถ้าแพ้เลือกตั้ง กับประเทศชาติแพ้ มันคนละเรื่อง ประเทศชาติจะถอยกลับไปอยู่ที่เดิมหรือไม่ ตนไม่อยากให้ประเทศเป็นแบบนี้ ที่อยู่วันนี้ก็เพราะแบบนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าตนเก่งสุด ใครทำได้ก็เข้ามาทำ พร้อมถามกลับว่า ทำไมล่ะ มันแพ้แล้วหน้าตามันหายหล่อหรือ”
พล.อ.ประยุทธ์ ทิ้งท้ายกับคำถามที่ว่า เราเป็นแชมป์เก่า มา 2 สมัย ถ้ากลับมาไม่ได้จะเป็นอย่างไร โดยพล.อ.ประยุทธ์ ย้อนถามว่า ก็ดูบอลโลกไหมล่ะ บางทีทีมเปลี่ยนคน เปลี่ยนสปอนเซอร์ บางทีก็ร่วงไปท้ายตาราง เป็นได้หมด ตนยอมรับกติกาได้หมด ชายชาติทหารรับได้หมด