เมื่อพูดถึงยวดยานพาหนะประเภทยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติไร้คนขับ หรือ self-driving vehicles ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปแล้ว เพราะหลายค่ายผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ระดับโลกต่างพากันทุ่มทุนวิจัยและพัฒนารถยนต์ประเภทนี้กันอย่างจริงจัง และมีการนำมาทดลองใช้งานจริงบนท้องถนนกันแล้ว นอกจากนี้ยังพบว่ารถยนต์ไร้คนขับที่วิ่งไปได้ด้วยระบบอัตโนมัตินั้น ในส่วนของรถบรรทุก (truck) ซึ่งจะนำมาวิ่งเพื่อการขนส่งเชิงพาณิชย์ มีพัฒนาการก้าวหน้าอย่างมากหากจะเปรียบกับประเภทรถเก๋งส่วนบุคคล (passenger car)
ยกตัวอย่างกรณีของบริษัท โพนี่ดอตเอไอ (Pony.ai) จากมณฑลกวางโจว ประเทศจีน ซึ่งมีสำนักงานสาขาตั้งอยู่ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ของสหรัฐอเมริกาด้วย เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาบริษัทระดมทุนเพื่อการวิจัยและผลิตรถบรรทุกไร้คนขับได้ถึง 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 6,000 ล้านบาท โครงการทดสอบนำรถบรรทุกไร้คนขับของบริษัทเริ่มมาตั้งแต่ต้นปีนี้พบว่า รถบรรทุกที่วิ่งไปเองโดยอัตโนมัติจำนวนเกือบ 30 คันนั้นสามารถวิ่งในสภาพการจราจรจริงๆ ในช่วงการจราจรแออัดของเมืองหนานชางโดยไม่เกิดอุบัติเหตุใดๆ
เหตุที่มองว่าแนวโน้มน่าจะไปได้ดีสำหรับรถบรรทุกขับเคลื่อนอัตโนมัตินั้นเนื่องมาจากการขนส่งด้วยรถบรรทุกเป็นธุรกิจทำเงินมหาศาล เฉพาะในสหรัฐอเมริกา การขนส่งทางบกด้วยรถบรรทุกซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่า 70% ของการขนส่งทุกรูปแบบ สามารถทำรายได้ที่ระดับ 7.96 แสนล้านดอลลาร์ หรือราว 23 ล้านล้านบาทในปีที่ผ่านมา (2561) เชื่อว่าการใช้รถบรรทุกไร้คนขับจะช่วยลดต้นทุนได้มาก ไม่ต้องมีการจ้างงานคนขับซึ่งตามกฎหมายบังคับให้ต้องมีการหยุดพักรถเป็นระยะๆ เพื่อสุขภาพและความปลอดภัย นอกจากนี้ เนื่องจากรถไร้คนขับส่วนใหญ่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าจึงสามารถประหยัดต้นทุนเชื้อเพลิงได้มาก หรืออย่างน้อย 15% เมื่อเทียบกับรถใช้นํ้ามันดีเซล อย่างไรก็ตาม อนาคตของรถยนต์ไร้คนขับจะขยายตัวได้เร็วหรือช้าเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับกฎระเบียบของทางการที่จะออกมารองรับด้วย เพราะระดับของคำว่า “ขับเคลื่อนโดยไร้คนขับ” นั้นมีหลายระดับ ตั้งแต่รถวิ่งเองได้โดยไม่ต้องมีคนนั่งไปด้วยเลย หรือรถขับเคลื่อนได้เองแต่ต้องมีคนมาเป็นผู้ช่วยกำกับดูแล เป็นต้น
หน้า 21 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,526 วันที่ 28 - 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562