เจฟฟ์ เบซอส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้งบริษัท แอมะซอน ยักษ์ใหญ่อี-คอมเมิร์ซของสหรัฐอเมริกา ที่ได้ชื่อว่าเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลก เป็นบุคคลหนึ่งซึ่งได้รับอานิสงส์จากมาตรการชัตดาวน์ หรือการปิดเมือง ที่รัฐบาลหลายประเทศทั่วโลกนำมาใช้เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ "โควิด-19"
สื่อต่างประเทศรายงานว่า ระหว่างวันที่ 13-17 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายประเทศเริ่มใช้มาตรการชัตดาวน์แล้ว ราคาหุ้นของบริษัท แอมะซอนพุ่งขึ้นถึง 16.4% และทำสถิติสูงสุดในวันที่ 16 เม.ย. นั่นหมายถึงมูลค่าสินทรัพย์ของเบซอสที่เพิ่มขึ้น 24,000 ล้านดอลลาร์ (กว่า 782,400 ล้านบาท) ทำให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีที่มีมูลค่าสินทรัพย์รวม 143,100 ล้านดอลลาร์ (กว่า 4.66 ล้านล้านบาท) มากกว่ามหาเศรษฐีโลกอันดับ 2 คือนายบิล เกตส์ อยู่เกือบ ๆ 40,000 ล้านดอลลาร์ และมากกว่าสินทรัพย์ของเศรษฐีอันดับ 3 คือนายวอร์เรน บัฟเฟตต์ เกือบ 2 เท่า
มาตรการชัตดาวน์ทำให้ประชาชนหลายร้อยล้านคนทั่วโลก กักตัวอยู่ภายในบ้าน และไม่อยากขยับตัวออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านโดยไม่จำเป็น พวกเขาหันมาช้อปปิ้งผ่านร้านค้าออนไลน์ ขณะที่กลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ก็มีกิจกรรมทางด้านอี-คอมเมิร์ซกันมากขึ้น ส่งผลให้รายได้ของแอมะซอนพุ่งทะยานตาม นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ในการรายงานผลประกอบการในวันที่ 30 เมษายนนี้ รายได้ไตรมาสแรกของแอมะซอนจะขยายตัวเพิ่มถึง 22%
นักวิเคราะห์ของธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกา ประเมินว่า แอมะซอนจะทำรายได้ (ไตรมาสแรก) 73,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 2.37 ล้านล้านบาท หรือเท่ากับการทำรายได้ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อวินาที ทั้งนี้ นอกจากธุรกิจอี-คอมเมิร์ซแล้ว ธุรกิจอื่น ๆ ของแอมะซอนที่มีการขยายตัวอย่างมากในช่วงที่ผู้คนใช้เวลาอยู่กับบ้านมากขึ้น ยังได้แก่ธุรกิจสตรีมมิ่งสื่อบันเทิงออนไลน์ เช่น บริการไพรม์วิดีโอ (Prime Video) และทวิตช์ (Twitch)
ปัจจุบัน แอมะซอนเป็นธุรกิจที่มีมูลค่า 1.18 ล้านล้านดอลลาร์ นับเป็นองค์กรธุรกิจที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับ3 ของโลกรองจากบริษัท ไมโครซอฟต์ และบริษัท แอปเปิล ตามลำดับ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้บริการส่งของถึงบ้าน (ดีลิเวอรี) มีการขยายตัวอย่างร้อนแรง แอมะซอนจึงมีแผนเพิ่มจำนวนพนักงานส่งของในสหรัฐฯ อีก 40% จากปัจจุบันที่มีอยู่จำนวน 175,000 คนทั่วประเทศ