สำนักข่าวเกียวโดรายงานโดยอ้างอิงการเปิดเผยของสื่ออเมริกันว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ตระหนักดีว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ซึ่งเป็นต้นตอของโรค โควิด-19 นั้นร้ายแรงและระบาดง่ายเพียงใด แต่เขาจงใจไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวต่อหน้าประชาชน
รายงานข่าวชิ้นนี้อ้างข้อมูลจากบันทึกเสียงเมื่อเดือนก.พ.ที่มีขึ้นเพื่อใช้เขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งหนังสือพิมพ์เดอะวอชิงตันโพสต์และสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นได้รับคลิปเสียงนี้
"คุณแค่หายใจเข้า ไวรัสก็เข้าตัวคุณแล้ว" ปธน.ทรัมป์กล่าวเมื่อวันที่ 7 ก.พ. ขณะให้สัมภาษณ์กับนักข่าวชื่อบ็อบ วูดวาร์ด "ไวรัสมันขี้โกงและแพร่เชื้อได้เนียนมาก ร้ายแรงยิ่งกว่าเป็นไข้หวัดหนักๆ เสียอีก"
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อแคมเปญหาเสียงของปธน.ทรัมป์ เพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกสมัยในการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในเดือนพ.ย. นี้ จากเดิมที่เขาเองถูกวิจารณ์อย่างหนักอยู่แล้วจากเรื่องการรับมือการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตในสหรัฐอเมริการาว 190,000 คนแล้ว และยังทำให้เศรษฐกิจซบเซาลงอย่างหนักอีกด้วย
ก่อนหน้านี้ ปธน.ทรัมป์ ได้แสดงท่าทีไม่เห็นความสำคัญของไวรัสโควิด-19 โดยเปรียบไวรัสดังกล่าวว่า เหมือนโรคไข้หวัดใหญ่เท่านั้น พร้อมกับขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนกและกล่าวว่าเดี๋ยวโรคนี้ก็จะ "ผ่านไป" ก่อนที่เขาจะประกาศภาวะฉุกเฉินเมื่อวันที่ 13 มี.ค.ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังให้สัมภาษณ์กับนักข่าวคนเดิมอีกครั้งในวันที่ 19 มี.ค. โดยนักข่าวถามถึงสาเหตุที่ทำให้เขามีมุมมองที่เปลี่ยนไปเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 ซึ่งปธน.ทรัมป์ กล่าวตอบว่า "พูดตรง ๆ เลยนะ ผมตั้งใจลดความสำคัญของมันมาโดยตลอด" โดยให้เหตุผลว่า "ถึงตอนนี้ ผมก็ยังอยากลดความสำคัญของเรื่องนี้อยู่ เพราะผมไม่อยากให้ประชาชนตื่นตระหนก" ทรัมป์กล่าว
ทั้งนี้ หนังสือพิมพ์เดอะวอชิงตันโพสต์และสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นระบุว่า บ็อบ วูดวาร์ด เป็นนักข่าวที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ถึง 2 ครั้ง โดยเขาได้สัมภาษณ์ปธน.ทรัมป์ รวม 18 ครั้งในช่วงเดือนธ.ค.ปีที่แล้วถึงก.ค.ปีนี้ เพื่อนำไปเขียนหนังสือเล่มใหม่ชื่อ "Rage" ซึ่งเตรียมเปิดตัวในวันอังคารหน้า (15 ก.ย.) ตามเวลาสหรัฐ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
"ทรัมป์"คาดสหรัฐได้ใช้วัคซีนต้านโควิดก่อนวันเลือกตั้ง 3 พ.ย.
ฝ่ายค้านร่วมแฉ รัสเซียแทรกแซงเลือกตั้งสหรัฐหนักข้อยิ่งกว่าจีน
สหรัฐสั่งทุกรัฐพร้อมแจกจ่ายวัคซีนต้านโควิดก่อนเลือกตั้ง
ตัวเลขสุดช็อก สถิติโควิดในสหรัฐอเมริกา