สำหรับประเด็นด้านการค้าและการลงทุน ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ระบุว่า จีน จะไม่แข่งขันสะสมอาวุธกับชาติอื่นๆ อย่างแน่นอน แต่มีความยินดีที่จะแบ่งปันโอกาสอันดีในตลาดการค้าขนาดใหญ่ของประเทศ โดยจีนจะสานต่อ ความร่วมมือในระดับพหุภาคี เพื่อ ขยายการค้าและการลงทุน พร้อมบังคับใช้กฎหมายการลงทุนสำหรับต่างชาติ (Foreign Investment Law) อย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงออกกฎและข้อบังคับอื่นๆ ที่เอื้อต่อการลงทุน พร้อมลดข้อจำกัดสำหรับการขึ้นบัญชีธุรกิจที่ไม่อนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน (negative list)
ขณะเดียวกัน จีนจะเดินหน้าพัฒนาท่าเรือการค้าเสรีไห่หนาน และระบบใหม่ที่เอื้อต่อการเปิดเศรษฐกิจที่มีมาตรฐานสูงขึ้น
นอกจากนี้ จีนจะพัฒนาความสัมพันธ์และความร่วมมือกับนานาประเทศ โดยยึดถือหลักการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ 5 ประการ และสนับสนุนความสัมพันธ์ใหม่ๆ กับต่างชาติ
ปธน.สี จิ้นผิง ยังได้เน้นย้ำถึงการสร้างเศรษฐกิจโลกที่เปิดกว้างมากขึ้น โดยกล่าวว่า การเปิดกว้างเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการพัฒนาและความก้าวหน้า ทั้งยังเป็นกุญแจสำคัญต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19
"เราจำเป็นต้องส่งเสริมการเปิดเสรีและสร้างความสะดวกในด้านการค้าและการลงทุน กระชับความร่วมมือในการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของภูมิภาค และพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน อุตสาหกรรม ข้อมูล และทรัพยากรมนุษย์"
ปธน.สียังเรียกร้องให้มีการนำนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้เพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่ประชาชนในทุกประเทศให้มากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งย้ำถึงความร่วมมือเพื่อสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล ตลอดจนการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และความร่วมมือในด้านต่างๆ ทั้งเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์, ชีวการแพทย์ และพลังงานใหม่
ในการกล่าวสุนทรพจน์ครั้งนี้ ปธน.สีได้กล่าวถึงหลักแห่งความเท่าเทียมกัน การเคารพซึ่งกันและกัน และความไว้วางใจกันว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากในเชิงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
"การวางอำนาจเหนือกว่าหรือก้าวก่ายกิจการภายในของประเทศอื่นจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากใครเลย เราต้องส่งเสริมสันติภาพ การพัฒนา ความเสมอภาค ความยุติธรรม ประชาธิปไตย และเสรีภาพ อันเป็นคุณค่าที่มนุษยชาติพึงมีร่วมกัน ตลอดจนส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้และการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างอารยธรรมต่างๆ เพื่อให้เกิดความก้าวหน้าของอารยธรรมแห่งมวลมนุษย์"
ผู้นำจีนยังระบุด้วยว่า จีนมีความก้าวหน้าและการพัฒนาที่ควบคู่ไปกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียและทั่วโลก ทั้งนี้ ในฐานะประเทศสมาชิกที่สำคัญของภูมิภาคเอเชีย จีนได้ดำเนินการปฏิรูปและเปิดประเทศอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งส่งเสริมความร่วมมือในระดับภูมิภาค
ปธน.สีแสดงความเห็นว่า ความไม่แน่นอนและความไร้เสถียรภาพนั้นเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน พร้อมเสริมว่า แม้ว่าเราจะอยู่ในยุคที่เต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ก็เป็นยุคที่เต็มไปด้วยความหวังเช่นเดียวกัน
ในการกล่าวสุนทรพจน์ครั้งนี้ ปธน.สีเน้นย้ำว่า แนวโน้มที่โลกจะมีหลายขั้วนั้นยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง พร้อมทั้งระบุว่า โลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นครั้งใหม่ และการเรียกร้องให้ส่งเสริมระบบพหุภาคีและการสื่อสาร รวมถึงการประสานงานกันนั้น ได้เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
นอกจากนี้ ปธน.สีให้คำมั่นว่า จีนจะทำงานร่วมกับทุกฝ่ายด้วยความเต็มใจ เพื่อเสริมสร้างให้โครงการ Belt and Road เป็นช่องทางในการขจัดความยากจน โดยปธน.สีคาดว่า ภายในปี 2573 นี้ โครงการ Belt and Road จะสามารถช่วยให้ประชาชนราว 7.6 ล้านคนหลุดพ้นจากความยากจนที่รุนแรง และช่วยจะให้ประชาชนทั่วโลกจำนวน 32 ล้านคนหลุดพ้นจากความยากจนในระดับปานกลาง
ทั้งนี้ ทั่วโลกต่างจับตาสุนทรพจน์ของปธน.สีอย่างใกล้ชิด เพื่อดูท่าทีล่าสุดของจีนในช่วงเวลาที่ยังคงมีความขัดแย้งกับสหรัฐ หลังจากที่ถูกกล่าวหาเกี่ยวกับการทำธุรกิจที่ไม่เป็นธรรม, การละเมิดสิทธิมนุษยชน และความขัดแย้งเกี่ยวกับไต้หวัน
ที่ผ่านมา การประชุมฟอรัม เอเชีย โป๋อ่าว (Boao Forum for Asia หรือ BFA) ได้รับความสนใจจากทั่วโลก โดยถูกมองว่ามีความสำคัญเทียบเท่ากับการประชุม World Economic Forum ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แต่การประชุม BFAได้ถูกยกเลิกในปีที่แล้วท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ข่าวที่เกี่ยวข้อง