สธ.ฝรั่งเศส เปิดเผยว่า จนถึงช่วงกลางเดือน ก.ย. ซึ่งเป็นกำหนดวันสุดท้ายที่กระทรวงให้บุคลากรด้านสาธารณสุขทั่วประเทศ ต้องเข้ารับ การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ปรากฏว่า หลังเส้นตายวันที่ 15 ก.ย.ที่ผ่านมา มีบุคลากรสาธารณสุข ซึ่งรวมถึงลูกจ้างคลินิกและศูนย์การแพทย์ ฯลฯ จำนวนราว 3,000 คน ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ส่งผลให้พวกเขาถูกระงับการทำงานหรือให้พักงานชั่วคราวโดยไม่ได้รับเงินค่าจ้าง เนื่องจากไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่สธ.กำหนดไว้
โอลิวิเยร์ เวอรองต์ รัฐมนตรีสาธารณสุขฝรั่งเศส เปิดเผยว่า การกำหนดให้วันที่ 15 ก.ย.เป็นวันสุดท้ายที่บุคลากรด้านสาธารณสุขจะต้องได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 อย่างน้อย 1 เข็ม และจะต้องแสดงหลักฐานผลการตรวจที่ระบุว่าพวกเขาไม่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้นเป็นเงื่อนไขของการทำงาน นอกเสียจากว่าพวกเขาจะได้รับการยกเว้นว่าไม่ต้องฉีดวัคซีนเพราะเหตุผลด้านสุขภาพ หรือไม่ต้องฉีดเพราะว่าพวกเขาเคยป่วยและหายแล้วจากโควิด-19 นอกจากนี้ ยังมีเงื่อนไขว่า พวกเขายังต้องได้รับวัคซีนครบทั้ง 2 เข็มภายในวันที่ 16 ต.ค. ที่จะถึงนี้ด้วย
“เมื่อวันที่ 16 ก.ย. เราได้แจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขซึ่งเป็นลูกจ้างทำงานอยู่ที่ศูนย์อนามัยและคลินิกสุขภาพจำนวนราว 3,000 คนที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้พวกเขาพักงานไปก่อน” เวอรองต์กล่าว และให้เหตุผลยืนยันการให้บุคลากรสาธารณสุขที่ไม่ฉีดวัคซีน พักงานชั่วคราวนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น เขายอมรับว่า มีบุคลากรจำนวนหนึ่งยื่นขอลาออกเนื่องจากพวกเขาไม่ต้องการถูกบังคับฉีดวัคซีน
ทั้งนี้ ฝรั่งเศสมีบุคลากรด้านสาธารณสุขทั่วประเทศราว 2.7 ล้านคน รมว.สาธารณสุขกล่าวว่า แม้จะมีการสั่งพักงานไป 3,000 คน แต่ระบบบริการสาธารณสุขของฝรั่งเศสก็ยังสามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ในระยะไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ฝรั่งเศสต้องเผชิญกับการประท้วงและกระแสต่อต้านนโยบายบังคับฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยการประท้วงหลายครั้งมีผู้เข้าร่วมจำนวนหลายพันคน นอกจากนี้ พวกเขายังคัดค้านการใช้ระบบ “พาสปอร์ตสุขภาพ” (health passport) ที่นำเสนอโดยประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง เนื่องจากพวกเขามองว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้ที่ปฏิเสธการฉีดวัคซีน
ระบบดังกล่าวถูกนำเสนอโดยประธานาธิบดีมาครง และเริ่มมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่เดือน ก.ค.ที่ผ่านมา วัตถุประสงค์เพื่อเป็นการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยกำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะเข้าใช้บริการของสถานที่ต่าง ๆ เหล่านี้ อาทิ ร้านอาหาร ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ โรงภาพยนตร์ รวมทั้งบนรถไฟที่เดินทางระยะไกล จำเป็นต้องแสดงหลักฐานที่เรียกว่า “พาสปอร์ตสุขภาพ” เพื่อแสดงว่าพวกเขาได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดครบโดสแล้ว หรือมีผลการตรวจร่างกายว่าไม่มีเชื้อโควิด-19 จึงจะสามารถเข้าใช้บริการได้
ไม่เพียงเฉพาะที่ฝรั่งเศส กระแสต่อต้านนโยบายบังคับฉีดวัคซีนโควิด เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาด้วยเช่นกัน โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 26 ก.ย.ที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์ภาคสองของสหรัฐได้สั่งระงับชั่วคราวข้อกำหนดที่ให้ครูและเจ้าหน้าที่โรงเรียนในนครนิวยอร์ก ต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19
การตัดสินของศาลเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน ก่อนที่มาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ และก่อนจะมีการเปิดไต่สวนคดีในสัปดาห์หน้า
รายงานระบุว่า เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา นายบิล เดอ บลาซิโอ นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์กได้กำหนดให้เจ้าหน้าที่ 148,000 รายในระบบโรงเรียนของนิวยอร์ก ต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 อย่างน้อย 1 โดส ภายในวันที่ 27 ก.ย. นี้ เพื่อชะลอการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา
อย่างไรก็ตาม ศาลอุทธรณ์ภาคสองแห่งสหรัฐได้ระงับคำสั่งดังกล่าวเป็นการชั่วคราวสำหรับครูและเจ้าหน้าที่ของโรงเรียน ทั้งนี้ ศาลจะเปิดการไต่สวนคดีในวันพุธที่ 29 ก.ย. ตามคำร้องขอของเมือง
ข่าวระบุว่า นอกเหนือจากนิวยอร์ก ก็ยังมีเมืองลอสแองเจลิส ชิคาโก และวอชิงตัน ที่มีการอนุมัติคำสั่งฉีดวัคซีนให้แก่ครูและเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนแล้ว เป็นผลมาจากการที่บรรดาผู้ปกครองต่างพยายามหาวิธีทำให้โรงเรียนปลอดภัยจากโควิด-19 และสามารถเปิดทำการได้ตามปกติ