นายมาซัตซูกะ อาซากาวะ ประธานธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) ให้ความเห็นกรณี วิกฤตหนี้เอเวอร์แกรนด์ ว่า จีนมีทุนสำรองและเครื่องมือด้านนโยบายที่เพียงพอในการป้องกันไม่ให้การผิดนัดชำระหนี้ของ “ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป” ส่งผลกระทบจนกลายเป็นวิกฤตการเงินโลก
"ผมไม่คิดว่าวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นกับบริษัทเพียงรายเดียวจะก่อให้เกิดวิกฤตการเงินโลกแบบเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในช่วงที่วาณิชธนกิจเลห์แมน บราเธอร์สล้มละลาย" นายอาซากาวะกล่าวกับผู้สื่อข่าวในการแถลงข่าวทางออนไลน์เมื่อวันอังคาร (28 ก.ย.)
ประธาน ADB ยังกล่าวด้วยว่า ทางการจีนได้แสดงความพร้อมที่จะควบคุมไม่ให้การล้มละลายของเอเวอร์แกรนด์ต้องบานปลาย โดยในเวลานี้ ธนาคารกลางจีนได้อัดฉีดสภาพคล่องจำนวนมากเข้าสู่ระบบ นอกจากนี้ เอเวอร์แกรนด์ยังมีสินทรัพย์ที่ถือครองอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งคาดว่าจะช่วยบรรเทาภาระหนี้สินของบริษัทได้
อย่างไรก็ดี นายอาซากาวะกล่าวว่า การล่มสลายของตลาดอสังหาริมทรัพย์อาจส่งผลกระทบต่อรัฐบาลในระดับภูมิภาคของจีน และภาคครัวเรือนที่ต้องพึ่งพาการถือครองอสังหาริมทรัพย์ในรูปของตราสารหนี้ทางการเงิน
"เราต้องจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากผลกระทบที่มีต่อสถานะการเงินของรัฐบาลในระดับภูมิภาคของจีนและภาคครัวเรือนนั้น เป็นสิ่งที่น่ากังวลมาก" นายอาซากาวะกล่าว
เอเวอร์แกรนด์ได้ผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ 2 งวดที่ครบกำหนดชำระในวันที่ 23 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยผิดนัดชำระดอกเบี้ยวงเงิน 232 ล้านหยวน หรือราว 35.88 ล้านดอลลาร์สำหรับหุ้นกู้สกุลเงินหยวนที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนก.ย. 2568 รวมทั้งดอกเบี้ยวงเงิน 83.5 ล้านดอลลาร์สำหรับหุ้นกู้สกุลดอลลาร์ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนมี.ค. 2565
อย่างไรก็ดี บริษัทยังคงมีระยะเวลาผ่อนผันอีก 30 วันในการหาทางระดมทุน ก่อนที่จะถูกประกาศอย่างเป็นทางการว่าบริษัทผิดนัดชำระหนี้
หลายฝ่ายกำลังจับตามองว่า นัดชำระดอกเบี้ยอีกงวดหนึ่งวงเงิน 47.5 ล้านดอลลาร์ในวันนี้ (29 ก.ย.) สำหรับหุ้นกู้สกุลดอลลาร์ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนมี.ค. 2567 เอเวอร์แกรนด์ส่อเค้าว่าจะผิดนัดชำระอีกเช่นกัน