นายอีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทเทสลา อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่มีมูลค่าตามราคาตลาดสูงที่สุดในโลก (1.07 ล้านล้านดอลลาร์)ได้ทำการขายหุ้นเทสลาอีก 687 ล้านดอลลาร์เมื่อวันศุกร์ (12 พ.ย.) หลังจากที่ได้เทขายไปแล้วกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงต้นสัปดาห์นี้
สื่อต่างประเทศรายงานว่า นายมัสก์ได้ยื่นเอกสารต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) ระบุว่า เขาได้ขายหุ้นเทสลาจำนวน 587,638 หุ้น และ 52,099 หุ้นที่ถือครองโดยกองทุนทรัสต์ของเขาเมื่อวันที่ 11 พ.ย.
ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (6 พ.ย.) นายมัสก์ได้ทวีตข้อความระบุว่า เขาจะขายหุ้น 10% ที่ถืออยู่ในเทสลา หากผู้ที่ติดตามเขาในทวิตเตอร์ลงคะแนนเห็นชอบต่อการดำเนินการดังกล่าว ซึ่งผลปรากฏว่า ผู้ตอบว่าอยากให้เขาขายหุ้นดังกล่าวนั้นมีจำนวนเกือบ 58% ในช่วงต้นสัปดาห์นี้ นายมัสก์จึงได้เริ่มขายหุ้นเทสลารอบแรกจำนวนเกือบ 3,600 ล้านหุ้น มูลค่าราว 4,000 ล้านดอลลาร์ และต่อมาได้ขายอีก 934,000 หุ้น มูลค่า 1,100 ล้านดอลลาร์ โดยอ้างว่าเพื่อนำเงินไปชำระภาษีจากการใช้สิทธิในออปชั่นเพื่อซื้อหุ้นอีกราว 2.2 ล้านหุ้น
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า หลังจากการขายหุ้นเหล่านี้ นายมัสก์จะยังคงถือครองหุ้นในบริษัทเทสลาอยู่กว่า 170 ล้านหุ้น
ข่าวการตั้งโพลสอบถามความเห็นบนทวิตเตอร์เพื่อโยนหินถามทางการขายหุ้นเทสลาของนายมัสก์ ได้ส่งผลให้ราคาหุ้นเทสลาร่วงลงอย่างหนักติดต่อกันถึง 2 วันในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อวันจันทร์และอังคารที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนเริ่มกังวลว่า การกระทำดังกล่าวของนายมัสก์เป็นการละเมิดข้อตกลงที่ทำไว้กับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) หรือไม่
ก่อนหน้านี้นายมัสก์ได้วิพากษ์วิจารณ์ข้อเสนอของพรรคเดโมแครตให้ปรับขึ้นภาษีกำไรที่ได้จากการลงทุน (Capital gains) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในมาตรการปฏิรูปภาษีที่พุ่งเป้าเรียกเก็บจากชาวอเมริกันที่ร่ำรวย