ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ลงนามใน ร่างกฎหมายการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Bipartisan Infrastructure Framework - BIF) วงเงินกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ที่ทำเนียบขาวแล้ววานนี้ (15 พ.ย.) โดยพิธีลงนามดังกล่าวมีสมาชิกสภาคองเกรสที่ให้การสนับสนุนร่างกฎหมายฉบับนี้เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน รวมทั้งผู้ว่าการรัฐต่าง ๆ นายกเทศมนตรี ตลอดจนผู้นำสหภาพแรงงานและภาคธุรกิจ
โครงการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานถือเป็นหนึ่งในโครงการที่ประธานาธิบดีไบเดนให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก โดยโครงการดังกล่าวจะรวมถึงการใช้จ่ายงบประมาณในการก่อสร้างถนน สะพาน ทางรถไฟ ปัจจัยพื้นฐานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และโครงการอื่นๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการจ้างงานในสหรัฐ
กฎหมายดังกล่าวถือเป็นการทำงานร่วมกันของสมาชิกพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันในสภาฯ ซึ่งไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก โดยสมาชิกวุฒิสภาจากพรรครีพับลิกัน 19 คนร่วมกับสมาชิกวุฒิสภาพรรคเดโมแครตทั้ง 50 คน รับรองร่างกฎหมายนี้ ขณะที่ในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ มี ส.ส.รีพับลิกัน 13 คน ที่ลงมติรับรอง และมี ส.ส.เดโมแครต 6 คนที่ออกเสียงคัดค้าน
ก่อนการลงนามอย่างเป็นทางการ ปธน.ไบเดน กล่าวว่า "พรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันต่างร่วมมือกันทำให้เกิดผลลัพธ์ที่แท้จริง" และยังระบุด้วยว่า "วันนี้เราทำสำเร็จ และอเมริกาเดินหน้าอีกครั้ง"
ผ่าเนื้อในกฎหมายโครงสร้างพื้นฐาน 1 ล้านล้านดอลลาร์ มีอะไรบ้าง
ภายใต้ร่างกฎหมายดังกล่าว รัฐบาลสหรัฐฯ จะใช้งบประมาณราว 150,000 ล้านดอลลาร์ในโครงการก่อสร้างและปรับปรุงถนน สะพาน เครือข่ายรางรถไฟ และขยายระบบขนส่งมวลชนต่าง ๆ ทั่วประเทศให้รองรับผู้สูงอายุและคนทุพพลภาพได้มากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีงบประมาณ 65,000 ล้านดอลลาร์สำหรับโครงการขยายเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะครอบครัวรายได้ต่ำ ชุมชนในชนบทและพื้นที่ของชนเผ่าพื้นเมืองต่าง ๆ 50,000 ล้านดอลลาร์สำหรับการปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและการโจมตีทางไซเบอร์
โครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจนี้ ยังรวมถึงการพัฒนาเครือข่ายไฟฟ้า น้ำประปา ระบบบำบัดน้ำเสีย และสนามบินต่าง ๆ มูลค่ากว่า 150,000 ล้านดอลลาร์ ตลอดจนงบประมาณสำหรับการก่อสร้างเครือข่ายสถานีจ่ายไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า การจัดซื้อรถโรงเรียนพลังงานไฟฟ้าและพลังงานไฮบริดสำหรับโรงเรียนรัฐบาลทั่วประเทศ เป็นต้น
ทั้งนี้ เมื่อวันอาทิตย์ (14 พ.ย.) ทำเนียบขาวประกาศแต่งตั้งนายมิตช์ แลนดริว อดีตนายกเทศมนตรีนครนิวออร์ลีนส์ ให้เป็นผู้ดูแลแผนก่อสร้างและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้
หลังจากพิธีลงนามในวันจันทร์สิ้นสุดลง ประธานาธิบดีไบเดนจะเดินทางไปรัฐต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบโครงการที่จะได้รับงบประมาณจากรัฐบาล รวมทั้งเน้นย้ำความสำคัญของแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ฉบับนี้
กฎหมายฉบับนี้ ถือเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของปธน.ไบเดนที่สามารถรักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนในช่วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งว่า เขาจะสร้างงานจำนวนหลายล้านตำแหน่ง และผลักดันสหรัฐให้สามารถแข่งขันกับจีนให้ได้
กฎหมาย BIF ซึ่งรวมถึงงบประมาณการใช้จ่ายระยะเวลา 5 ปีวงเงิน 5.50 แสนล้านดอลลาร์นั้น ใช้เวลานานหลายเดือนก่อนที่จะผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรส โดยกฎหมายฉบับนี้จะเปิดทางให้โครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของปธน.ไบเดนกลายเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นการสร้างถนนหนทาง สะพาน การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และการสร้างเครือข่ายสถานีชาร์ตแบตเตอร์รี่รถยนต์ไฟฟ้าทั่วประเทศ
"กฎหมายฉบับนี้จะทำให้ปี 2565 เป็นปีแรกในรอบ 20 ปีที่การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐขยายตัวรวดเร็วกว่าจีน" ปธน.ไบเดนกล่าวในพิธีลงนามบังคับใช้กฎหมาย BIF ที่ทำเนียบขาวเมื่อวันจันทร์ (15 พ.ย.)
ก่อนหน้านี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2564 ขึ้นสู่ระดับ 7% ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 4.6% โดยการปรับเพิ่มคาดการณ์ดังกล่าวเกิดจากสมมติฐานที่ว่า จะมีการบังคับใช้แผนการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานของประธานาธิบดีโจ ไบเดน