หลังจากที่กลางเดือนธันวาคม อังกฤษ เป็นประเทศแรกในโลก ที่มีรายงานยืนยัน ผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ สายพันธุ์ “โอมิครอน” (Omicron) ต่อจากนั้น ก็มีรายงานการเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นทั้งในอังกฤษเอง และ ประเทศอื่น ๆ อย่างน้อยอีก 4 ประเทศ ซึ่งได้แก่ อิสราเอล สหรัฐอเมริกา เยอรมนี และออสเตรเลีย
“ฐานเศรษฐกิจ” ขอประมวลรายละเอียดมาฝากกัน เพื่อเตือนใจอย่าได้ประมาทว่า ติดเชื้อสายพันธุ์นี้ อาการไม่รุนแรง เพราะผู้ติดเชื้อที่อาการหนักจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด “โอมิครอน”นั้น มีจริงใน 5 ประเทศ ดังนี้
1.อังกฤษ
14 ธ.ค. อังกฤษเป็นประเทศแรกในโลกที่ยืนยันพบผู้เสียชีวิตรายแรกจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์ “โอมิครอน” โดยนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีเป็นผู้เปิดเผยเรื่องนี้ด้วยตนเอง
"เป็นเรื่องน่าเศร้าที่โอมิครอนทำให้ผู้ป่วยโควิด-19 ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล และทำให้มีผู้ป่วยอย่างน้อย 1 รายเสียชีวิต ดังนั้น ผมคิดว่าเราต้องปรับแนวคิดใหม่ จากเดิมที่คิดว่าไวรัสนี้ไม่ทำให้เกิดอาการรุนแรง และให้ตระหนักถึงความรวดเร็วในการแพร่ระบาดในหมู่ประชาชน ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดที่เราทำได้คือการให้ทุกคนเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3"
หลังจากนั้นไม่ถึงสัปดาห์ (20 ธ.ค.) สาธารณสุขอังกฤษรายงาน มีผู้เสียชีวิตจากสายพันธุ์โอมิครอนเพิ่มเติมเป็น 12 ราย และยังมีผู้ป่วยจากการติดเชื้อสายพันธุ์ดังกล่าวอีก 104 รายเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล
2. อิสราเอล
20 ธ.ค. อิสราเอลรายงานพบผู้เสียชีวิตรายแรกจากเชื้อโควิดกลายพันธุ์โอมิครอน หลังจากที่ทางการเพิ่งประกาศจะกระตุ้นวัคซีนเข็มที่ 4 ให้ประชาชนเพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดระลอกใหม่
ข่าวระบุว่า ผู้เสียชีวิตรายแรกจากเชื้อโควิดกลายพันธุ์ “โอมิครอน” ในอิสราเอล เป็นชายอายุราว 60 ปี เขาเสียชีวิตหลังจากแอดมิตเข้าโรงพยาบาลจากการติดเชื้อโควิดได้ราว 2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ทางโรงพยาบาลยืนยันว่าผู้เสียชีวิตมีโรคประจำตัวและมีอาการป่วยแทรกซ้อนในระดับวิกฤติหลายโรคอยู่ก่อนแล้ว จึงเป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิต
สื่อท้องถิ่นของอิสราเอล ทั้งเดอะไทมส์ออฟอิสราเอล และวายเน็ต รายงานตรงกันว่า ผู้เสียชีวิตรายนี้ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 มาแล้วครบ 2 โดส
กระทรวงสาธารณสุขของอิสราเอลระบุเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า พบผู้ติดเชื้อโอมิครอนในประเทศแล้วอย่างน้อย 340 ราย ทำให้รัฐบาลเริ่มออกมาตรการหลายด้านเพื่อเร่งรับมือ โดยรัฐบาลอิสราเอลได้อนุมัติให้มีการทำงานจากที่บ้านร้อยละ 50 ของพนักงานของภาครัฐเพื่อเว้นระยะห่าง พร้อมกระตุ้นให้คนทำงานจากที่บ้านให้มากขึ้น
3. สหรัฐอเมริกา
21 ธ.ค. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานพบ ผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด “โอมิครอน” รายแรกในสหรัฐอเมริกา เป็นชายวัย 50 ปี อาศัยอยู่ในรัฐเท็กซัส เขายังไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 มาก่อน ทั้งยังมีปัญหาด้านสุขภาพอยู่ก่อนแล้ว นอกจากนี้ เขายังเคยเป็นผู้ป่วยโควิดมาก่อนด้วย
แถลงข่าวจากสาธารณสุขแฮร์ริส เคาน์ตี้ เปิดเผยว่า ผู้พิพากษาประจำเขตได้ประกาศการเสียชีวิตของชายผู้นี้เมื่อวันจันทร์ที่ 20 ธ.ค.
4. เยอรมนี
เยอรมนีรายงานผู้เสียชีวิตจากโอมิครอนรายแรก เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาก่อนเทศกาลคริสต์มาส โดยเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. สถาบันโรเบิร์ต คอช (RKI) ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านโรคติดเชื้อของเยอรมนี ยืนยันพบผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนเป็นรายแรกในประเทศเยอรมนี โดยทางสถาบันให้รายละเอียดเพียงว่า ผู้เสียชีวิตรายนี้มีอายุระหว่าง 60-79 ปี ขณะที่มีการรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอนในประเทศจำนวนสะสม 3,198 ราย (ข้อมูล ณ 23 ธ.ค.)
นายคาร์ล เลาเทอร์บัค รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของเยอรมนี ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า เยอรมนีอาจไม่สามารถหยุดการระบาดของโควิด-19 ระลอกที่ 5 เขาระบุว่า ในฐานะรมว.สาธารณสุข ตัวเขาเองสนับสนุนแนวคิดการบังคับฉีดวัคซีน เพราะเห็นว่าเป็นวิธีเดียวที่จะหยุดการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเยอรมนีไม่มีแผนจะล็อกดาวน์ประเทศในช่วงเทศกาลคริสต์มาส แต่ทางการได้ออกคำสั่งเมื่อต้นเดือนธ.ค.ให้ผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ห้ามเข้าสถานประกอบการที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน เพื่อควบคุมไม่ให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์โอมิครอน
5. ออสเตรเลีย
ประเทศล่าสุดคือ ออสเตรเลีย สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ทางการออสเตรเลียยืนยันพบผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนรายแรกในวันนี้ (27 ธ.ค.) โดยผู้เสียชีวิตเป็นชายวัย 80 ปีที่มีอาการป่วยอยู่ก่อนแล้วหลายโรค และฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 มาแล้วอย่างน้อยสองเข็ม ทางการออสเตรเลียไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับผู้เสียชีวิตเพิ่มเติมมากนัก ระบุเพียงว่าติดเชื้อจากสถานดูแลผู้สูงอายุและเสียชีวิตในโรงพยาบาลซิดนีย์
"นี่เป็นการเสียชีวิตรายแรกในรัฐนิวเซาท์เวลล์ที่เชื่อมโยงกับสายพันธุ์ที่น่ากังวลอย่างโอมิครอน" ดร.คริสทีน เซลวีย์ แพทย์ด้านระบาดวิทยาแห่งรัฐนิวเซาท์เวลล์กล่าวในวิดีโอที่เผยแพร่โดยรัฐบาลออสเตรเลีย
ทั้งนี้ “โอมิครอน” เริ่มระบาดในออสเตรเลียในช่วงที่รัฐบาลเพิ่งยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์พื้นที่ส่วนใหญ่ในประเทศ และเพิ่งจะเริ่มอนุญาตให้ชาวออสเตรเลียเดินทางกลับเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องกักตัว หลังมีการล็อกดาวน์มาเป็นระยะ ๆ ตลอดช่วงเวลาเกือบ 2 ปี ส่งผลให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันพุ่งสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ท่ามกลางการระบาดรอบใหม่นี้ รัฐบาลออสเตรเลียจำเป็นต้องยุติบางส่วนของแผนการทยอยเปิดประเทศไว้ชั่วคราวแล้ว แต่แม้กระนั้น นายสกอตต์ มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรียืนยันว่า ออสเตรเลียจะไม่กลับไปล็อกดาวน์อีก ไม่ว่าจะในระดับใดก็ตาม ขณะเดียวกันเขาขอให้ประชาชนทุกคน ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับโควิด-19 ด้วยความตระหนักรู้ และมีสามัญสำนึกต่อส่วนรวม