ศาลฎีกาสหรัฐ ประกาศคำตัดสินเมื่อวานนี้ (13 ม.ค.) ให้ระงับคำสั่งของ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐอเมริกา ที่กำหนดให้ธุรกิจขนาดใหญ่ต้องให้พนักงานของตนฉีดวัคซีนหรือเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในช่วงที่ยอดผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้น
คำสั่งพิเศษดังกล่าวของปธน.ไบเดนเป็นที่โต้แย้งกันอย่างกันอย่างหนัก โดยเมื่อวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์ภาค 5 แห่งสหรัฐได้ระงับการบังคับใช้คำสั่งพิเศษของปธน.ไบเดนที่กำหนดให้บริษัทต่าง ๆ ที่มีพนักงานมากกว่า 100 คนขึ้นไปต้องให้พนักงานเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แต่ต่อมาก็ได้มีคำตัดสินจากศาลอุทธรณ์ภาค 6 ของสหรัฐในเมืองซินซินนาติในวันที่ 17 ธ.ค. ให้คืนคำสั่งบังคับธุรกิจขนาดใหญ่ในสหรัฐต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 หรือตรวจเชื้อโควิดให้กับพนักงาน
คณะผู้พิพากษา 3 คนของศาลอุทธรณ์แสดงความเห็นว่า กฎหมายอนุญาตให้สำนักงานบริหารความปลอดภัยและอาชีวอนามัยสหรัฐ (OSHA) ดำเนินการตามหน้าที่เพื่อรับรองสภาวะการทำงานที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพสำหรับแรงงานของประเทศ และเพื่อรักษาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า คำพิพากษาล่าสุดของศาลฎีกา ตลอดจนการฟ้องร้องในประเด็นเดียวกันที่ยังคงดำเนินอยู่ในศาลชั้นต้น ส่งสัญญาณว่ารัฐบาลกลางสหรัฐกำลังประสบล้มเหลวในความพยายามที่จะเพิ่มอัตราการฉีดวัคซีนในหมู่ประชาชนด้วยการใช้อำนาจผ่านหน่วยงานด้านความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน
นอกจากนี้ ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลฎีกา ผู้พิพากษาบางคนยังได้ตั้งข้อสงสัยว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่
ขณะเดียวกัน การที่ศาลฎีกาตัดสินรับรองคำสั่งบังคับฉีดวัคซีนสำหรับบุคลากรในสถานบริการด้านสุขภาพ ก็จะทำให้บุคลากรราว 10.3 ล้านคนในสถานบริการ 76,000 แห่งที่รวมถึงโรงพยาบาลและบ้านพักคนชราที่รับเงินสนับสนุนจากภาครัฐ ต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้